01 Feb 2021 13:58 น.
อ่าน 209 ครั้ง
ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย เผยภาพรวมตลาดโรงแรมระดับลักชัวรี่ กรุงเทพฯ แห่ปิดบริการบางส่วน และทั้งหมด หลังนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นศูนย์ ระบุการพึ่งพาตลาดในประเทศอย่างเดียวไม่เพียงพอ ส่วนโรงแรมที่เปิดให้บริการมีอัตราเข้าพักเพียง 20% ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอน คาดภาคโรงแรมจะฟื้นตัวอีกครั้งปลายปี 2564 หลังวัคซีนเริ่มใช้
นายคาร์ลอส มาร์ติเนซ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ได้มีการคาดการณ์กันว่าประเทศไทยจะสร้างสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงสุดในปี 2563 แต่น่าเสียดายที่มันอยู่ในระดับต่ำสุดแทน เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในกรุงเทพฯ ลดลงจนเหลือ 0 ส่งผลให้ความต้องการห้องพักในโรงแรมลดลงอย่างมาก สะท้อนให้เห็นว่าตลาดโรงแรมหรูในกรุงเทพฯ พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติค่อนข้างสูง การพึ่งพาการท่องเที่ยวภายในประเทศเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ทำให้โรงแรมหลายแห่งเลือกที่จะปิดธุรกิจบางส่วนหรือทั้งหมด จนกว่าจะมีสัญญาณการฟื้นตัวของตลาด โดยโรงแรมระดับลักชัวรี่กรุงเทพฯ มีจำนวนห้องพักรวมทั้งสิ้น 20,555 ห้อง ณ สิ้นปี 2563
ในส่วนของโรงแรมที่เปิดให้บริการนั้น ยังคงไม่ดีนัก มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเพียง 20% ส่วนใหญ่มาจากแพ็คเกจ Staycation และนักท่องเที่ยวต่างชาติจากโครงการกักตัวทางเลือก (Alternative State Quarantine)
สถานะการยังคงมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเกิดโควิด -19 ระบาดระลอกใหม่ในประเทศไทย ในเดือนมกราคม 2564 แต่อย่างไรก็ตาม ภายใต้วัคซีนป้องกันโควิด -19 ที่จะเริ่มใช้ในประเทศไทยและทั่วโลก คาดว่าจะเห็นจุดฟื้นตัวของภาคโรงแรมในปลายปี 2564 หรืออาจเป็นต้นปี 2565
รัฐบาลไทยคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะขยับขึ้นเป็น 8 ล้านคนในปี 2564 และจะค่อยๆ ฟื้นตัวจนถึงระดับก่อนเกิดโควิด ที่มีนักท่องเที่ยว 40 ล้านคน ภายในปี 2567 ชายแดนไทยยังไม่เปิดจนกว่าการใช้วัคซีนจะประสบความสำเร็จ โดยรัฐบาลไทยคาดว่าอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของประชากรในประเทศไทยจะได้รับฉีดวัคซีนภายในสิ้นปี 2564 โดยในสถานการณ์นี้ อัตราค่าห้องเฉลี่ยต่อวันอาจปรับลดลงอีก เนื่องจากผู้ประกอบการแข่งขันกันเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
การท่องเที่ยวภายในประเทศเป็นตัวขับเคลื่อนเดียวในช่วงต้นปี 2564 นี้ เมื่อข้อจำกัดด้านการเดินทางผ่อนคลายลง การกลับมาฟื้นตัวจะเริ่มจากนักท่องเที่ยวในภูมิภาคเดียวกันก่อน พร้อมกับการเดินทางเชิงธุรกิจ ตามมาด้วยการฟื้นตัวอย่างช้าๆ ในภาคการท่องเที่ยวจากต่างชาติและธุรกิจ MICE ที่ประกอบไปด้วย ธุรกิจการจัดการประชุมขององค์กร (Meeting) การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล (Incentive) การจัดการประชุมนานาชาติ (Conventions) และการจัดการแสดงสินค้าและนิทรรศการ (Exhibitions)
อัตราการเข้าพักโดยเฉลี่ยในกรุงเทพฯ คาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยอาจจะเห็นการปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 โดยเฉพาะในช่วงไฮซีซั่นในไตรมาสสุดท้าย หากมีการยกเลิกข้อจำกัดด้านการเดินทาง
นายคาร์ลอส กล่าวว่า ในปี 2563 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 6.7 ล้านคน ลดลงถึง 83% ปีต่อปี จาก 39.9 ล้านคน ในปี 2562 เนื่องจากข้อจำกัดในการเดินทางระหว่างประเทศ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 โดยระหว่างเดือนเมษายน ถึงกันยายนปี 2563 ไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศ ขณะที่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามา 10,822 คน ด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวแบบพิเศษระยะยาว ซึ่งต้องกักตัว 14 วัน
นักท่องเที่ยวทั้งหมดในปี 2563 ส่วนใหญ่มาจากเอเชียตะวันออก คิดเป็น 56% ตามมาด้วยยุโรป 31% และอีกประมาณ 20% มาจากจีน ซึ่งยังคงเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุด
ในเดือนกรกฎาคมปี 2563 รัฐบาลไทยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในภายประเทศ และเป็นการพยายามชดเชยบางส่วนจากการไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศ มาตรการดังกล่าวคือการช่วยเหลือค่าใช้จ่าย 40% ของราคาห้องพักปกติเป็นจำนวน 5 ล้านสิทธิ ซึ่งโรงแรงส่วนใหญ่จะได้รับประโยชน์ในช่วงวันหยุดยาว เช่นโรงแรมในพัทยา และหัวหิน เป็นต้น ในขณะที่โรงแรมระดับลักชัวรี่เสนอแพ็คเกจ “staycation” เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวภายในประเทศด้วยส่วนลดพิเศษต่างๆ
กราฟที่ 1 : จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในกรุงเทพฯ
สำหรับโรงแรมระดับลักชัวรี่บริเวณสุขุมวิทตอนต้น ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยอุปทานโรงแรมระดับลักชัวรี่ประมาณ 40% ของอุปทานทั้งหมด ตามมาด้วยเขตลุมพินี 22% สีลมและสาทร 15% และริมแม่น้ำ (16%)
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงปลายปี 2562 ทำให้ตลาดได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โดยในปี 2563 มีอัตราการเข้าพักโดยเฉลี่ยของโรงแรมระดับลักชัวรี่ในกรุงเทพฯ เพียง 27% อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 มีอัตราการเข้าพักมากกว่า 50% และลดลงไปต่ำสุดที่ 20% ในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 โดยอัตราดังกล่าวมาจากแพ็คเกจ Staycations และโครงการสถานที่กักตัวทางเลือก (Alternative State Quarantine) ขณะที่ภาครัฐอนุมัติให้กรุงเทพฯ เป็นจุดเข้า-ออก สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่เนื่องจากอัตราการเข้าพักที่ต่ำ ทำให้บางโรงแรมหยุดให้บริการจนกว่าตลาดจะกลับมาฟื้นตัว
กราฟที่ 2 : จำนวนห้องพักโรงแรมระดับลักซัวรี่ในกรุงเทพฯ
ในปี 2563 อัตราค่าห้องเฉลี่ยต่อวัน (ADR) ของโรงแรงระดับลักชัวรี่ลดลง 12% เฉลี่ยอยู่ที่ 4,486 บาท ส่งผลมาจากส่วนลดพิเศษต่างๆ ที่เสนอให้กับนักท่องเที่ยวภายในประเทศเพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และในสภาวะที่อัตราการเข้าพักต่ำโรงแรมบางแห่งจึงได้ปิดตัวลงชั่วคราว
กราฟที่ 3 : อัตราการเข้าพักและราคาเฉลี่ยรายวันของโรงแรมระดับลักซัวรี่ในกรุงเทพฯ
ช่วงครึ่งหลังของปี 2563 มีโรงแรงระดับลักชัวรี่เปิดใหม่ 4 แห่งในกรุงเทพฯ ทำให้มีอุปทานเพิ่มขึ้น 1,162 ห้อง ได้แก่ โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์กรุงเทพ 301 ห้อง โรงแรมสินธรเคมปินสกี้กรุงเทพ 285 ห้อง โรงแรมสินธรมิดทาวน์กรุงเทพ 475 ห้อง และโรงแรม เดอะ คาเพลลากรุงเทพ 101 ห้อง ทั้งหมดนี้ตั้งอยู่ใจกลางย่านเศรษฐกิจ (CBD) ขณะที่การเปิดตัวของโรงแรมอื่นๆ ในกลุ่มอัพสเกลและมิดสเกล รวมอยู่ที่ 985 ห้อง ได้แก่ อาศัย กรุงเทพ ไชน่าทาวน์ 224 ห้อง ไลฟ์ สุขุมวิท 8 บางกอก 196 ห้อง โรงแรมซัมเมอร์เซ็ต พระราม 9 กรุงเทพ 445 ห้อง และ เดอะ ควอเตอร์ เพลินจิต 129 ห้อง
การระบาดของไวรัสโควิด -19 ทำให้ผู้ประกอบการโรงแรมชะลอการเปิดโครงการใหม่ โดยมีโรงแรมสองแห่งเลื่อนการเปิดให้บริการในปี 2563 รวมทั้งหมด 413 ห้อง ซึ่งได้แก่ โรงแรม โอเรียนท์ เอ็กซ์เพรส มหานคร จำนวน 154 ห้อง และ โรงแรม ชไตเกนเบิร์กเกอร์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ 259 ห้อง นอกจากนี้ แผนการพัฒนาโรงแรมใหม่ในปี 2563 ยังถูกเลื่อนออกไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ไมเนอร์ฯ จับมือ ฟันยาร์ด รุกธุรกิจโรงแรมจีน
“สุพิชฌาย์” โรงแรมหรูภูเก็ต หั่นราคาอ้าแขนรับไทยเที่ยวไทย
SCB จัดติวเข้ม ฉุดผู้ประกอบการโรงแรมฟื้นตัว
ไนท์แฟรงค์ ชี้ โรงแรมภูเก็ตรอฟื้นจากแรงหนุนโครงสร้างพื้นฐาน
ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อน กับ LINE @thansettakij