วันนี้ (15 ก.พ.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏเป็นการทั่วไปว่า มีกลุ่มการเมือง ในนาม “กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม” และ “กลุ่มราษฎร” นำโดยนายภานุพงษ์ จาดนอก นายอรรถพล บัวพัฒน์ นายปิยรัฐ จงเทพ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ได้จัดชุมนุมสาธารณะขึ้นอย่างผิดกฎหมายในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา ณ บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนินกลาง โดยได้กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายหลายประการ และหลายฉบับ ความดังทราบเป็นการทั่วไปแล้วนั้น
การบุกรุกเข้าใช้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยดังกล่าว ยังได้มีการรื้อถอนทำลายทรัพย์สินของทางกรุงเทพมหานคร คือ ไม้ดอกไม้ประดับ ซึ่งกทม.ได้ตกแต่งประดับไว้ในบริเวณพื้นที่ดังกล่าวให้สวยงาม ซึ่งถือว่า เป็นการทำลายทรัพย์สินของทางราชการ ซึ่งกรุงเทพมหานครได้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินที่เป็นเงินภาษีของประชาชนไปในการปลูก บำรุงรักษา และประดับ ซึ่งรวมมูลค่าแล้วน่าจะหลายแสนบาท ซึ่งมีความผิดหลายมาตรา อาทิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360 ที่บัญญัติความว่า “ผู้ใดทําให้เสียหาย ทําลาย ทําให้เสื่อมค่าหรือทําให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ”
กรณีดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงต้องเดินทางไปร้องเรียนผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อให้เร่งสั่งการให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษเอาผิดบุคคลหรือกลุ่มบุคคลทั้งทางแพ่งและทางอาญา ที่เป็นผู้ที่สั่งการ หรือร่วมกระทำการดังกล่าว ดังนี้
1)สั่งการให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการอย่างใดๆ เพื่อตรวจสอบความเสียหายของไม้ดอกและไม้ประดับรวมทั้งทรัพย์สินอื่นใดของกรุงเทพมหานคร ในบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่เสียหาย จากเหตุดังกล่าวว่ามีความเสียหายประเมินแล้วเป็นมูลค่าออกมาเท่าใด และอย่างไร เพื่อนำไปกำหนดเป็นค่าเสียหายในทางแพ่งต่อไป
2)สั่งการหรือมอบหมายให้นิติกรหรือฝ่ายกฎหมายหรือสำนักสิ่งแวดล้อม เข้าดำเนินการแจ้งความหรือร้องทุกข์กล่าวโทษบุคคล และหรือกลุ่มบุคคล ในนาม “กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม” และ “กลุ่มราษฎร” ทั้งทางแพ่ง และทางอาญา เพื่อดำเนินคดีต่อไปให้ถึงที่สุด โดยไม่มีการยอมความด้วยกรณีใดๆ
โดยสมาคมฯจะเดินทางไปยื่นคำร้องในวันจันทร์ที่ 15 ก.พ.64 เวลา 11.00 น. ณ สำนักงานผู้ว่าฯ กทม.1 เสาชิงช้า กทม. นายศรีสุวรรณ กล่าวในที่สุด