
ชัชชาติ ย้ำ ‘กลุ่มเสี่ยง’ ฉีดกระตุ้นทุก 4 เดือน กทม.จ่อปรับสถานะ ‘โควิด’ เป็นโรคเฝ้าระวัง ต.ค.นี้-เน้น มาตรการ 5 ป. รับปีแห่งไข้เลือดออก
เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ที่ห้องนพรัตน์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.), ผศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าฯ กทม., นางป่านฤดี มโนมัยพิบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักอนามัย และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 10/2565
ผศ.ดร.ทวิดา กล่าวว่า ที่ประชุมมีการพูดคุยเรื่องการเตรียมการสถานะของโรคโควิด-19 จากโรคติดต่ออันตราย เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ ซึ่งในเดือนกันยายนจะเป็นการเตรียมตัวขั้นตอนการปฏิบัติ เช่น หากมีการผ่อนคลายมาตรการมากขึ้น อาจจะทำให้เพิ่มจำนวนผู้ป่วย จะมีการตอบสนองกับสถานการณ์อย่างไร ส่วนมาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคล และสถานประกอบการที่มีผู้ใช้หนาแน่น ก็จะมีคำแนะนำไปให้ รวมทั้งให้ทาง โรงพยาบาล ศูนย์บริการสาธารณสุข ของ กทม. จะมีการเร่งให้มีการฉีดวัคซีนมากขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ภาวะฟื้นฟูได้เต็มที่

ผศ.ดร.ทวิดา กล่าวต่อว่า ศูนย์ฉีดวัคซีนยังเปิดให้บริการเหมือนเดิม โดยประชาชนสามารถรับบริการฉีดวัคซีนได้ที่ ศูนย์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 กรุงเทพมหานคร อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) ดินแดง, สถานีกลางบางซื่อ, โรงพยาบาลที่ไปรับบริการ/มีประวัติการรักษา, โรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานคร 11 แห่ง, โรงพยาบาลสังกัดอื่น ๆ 8 แห่ง, ศูนย์บริการสาธารณสุข 69 แห่ง
สำหรับกลุ่ม 608 จะมีหน่วยบริการเชิงรุกในชุมชน (CCRT) และให้บริการฉีดถึงบ้านสำหรับผู้ป่วยติดบ้าน ติดเตียง และผู้พิการด้วย
ด้าน นายชัชชาติ ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวเสริมว่า สำหรับกลุ่ม 608 ยังมีความเสี่ยงสูง เพราะมีผู้ป่วยที่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ต้องคอยฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น หลังจากฉีดวัคซีนเข็มสุดท้ายไปแล้ว 4 เดือน ซึ่ง กทม.พร้อมให้บริการฉีดวัคซีนโดยตลอด

สำหรับสถานการณ์โรคไข้เลือดออก นางป่านฤดี ผอ.สำนักอนามัย กล่าวว่า คาดการณ์ปีนี้เป็นปีแห่งการระบาดของโรคไข้เลือดออก กทม.มีการดำเนินงานแจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ทั้งสถานพยาบาล โรงเรียน ชุมชน เมื่อมีการดำเนินการแล้ว ดูจากตัวเลขย้อนหลัง 5 ปี มีจำนวนผู้ป่วยที่ลดลง เน้นย้ำมาตรการ 5 ป. ‘ปิด เปลี่ยน ปล่อย ปรับปรุง ปฏิบัติ’ แหล่งน้ำทั้งหมดต้องมีการกำจัดลูกน้ำยุงลายเพื่อที่จะไม่ให้เกิดตัวแก่ ส่วนการพ่นยาจะใช้ในกรณีที่เกิดโรคหรือมีผู้เสียชีวิต เพื่อที่จะไปควบคุมตัวแก่ที่มีเชื้อโรค จะไม่มีการพ่นยยาทั่วไป ต้องขอความร่วมมือประชาชนช่วยกันกำจัดลูกน้ำยุงลาย
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก
Line @Matichon ได้ที่นี่

