
ชัชชาติ ไม่ห่วงคะแนนนิยมตก หลังประกาศเก็บค่าโดยสารส่วนต่อขยาย ย้ำ กทม.ต้องนำงบไปอุดหนุนส่วนอื่น
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ที่ห้องประชุมและวางแผน (War Room) ชั้น 35 อาคารธานีนพรัตน์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ดินแดง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) และรศ.ดร.วิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าฯ กทม. เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 17/2565 ประเด็นเรื่องความคืบหน้าการเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 2 (หมอชิต-คูคต และ แบริ่ง-เคหะสมุทรปราการ)
นายชัชชาติ กล่าวว่า จำเป็นต้องเก็บค่าโดยสาร เพราะไม่ได้เก็บมาตั้งแต่ที่มีการเปิดให้ใช้บริการ ซึ่งการงดเก็บค่าโดยสาร ไม่ได้หมายความว่า กทม. ไม่ได้จ่ายเงิน เพราะต้องมีค่าใช้จ่ายในการจ้างเดินรถปีละ 5,900 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเยอะมากเมื่อเทียบกับงบประมาณด้านสาธารณสุข ประมาณปีละ 6,000 ล้านบาท ดังนั้น หากไม่เก็บค่าโดยสารเลย ก็จะไม่เป็นธรรมกับคนอื่นที่ไม่ได้นั่งรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย
นายชัชชาติ กล่าวว่า แม้จะเริ่มเก็บค่าโดยสารแล้ว รายได้ที่ กทม.จะได้รับอยู่ที่ประมาณ 1,600 ล้านบาทต่อปี ซึ่งไม่เพียงพอกับค่าจ้างเดินรถ ทาง กทม. ต้องตั้งงบประมาณอุดหนุนส่วนต่าง จำเป็นจะต้องมีการแต่งตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) 3 คน เข้ามาร่วมให้ความเห็น เหมือนกับที่ กทม. ตั้งงบประมาณอุดหนุนจ่ายส่วนต่าง ให้ส่วนต่อขยายที่ 1 ทุกปี (สะพานตากสิน-บางหว้า และ อ่อนนุช-แบริ่ง) โดยมีการเก็บค่าแรกเข้าอยู่ที่ 15 บาท
ด้าน รศ.ดร.วิศณุ กล่าวว่า สำหรับสูตรการเก็บค่าโดยสารมีด้วยกัน 2 สูตร
สูตรที่ 1.ค่าแรกเข้าระหว่างส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 เส้นทางสายสีเขียวใต้ (อ่อนนุช-เคหะสมุทรปราการ) คงอยู่ที่ 15 บาทเท่าเดิม หมายความว่า แม้นั่งรถจากสถานีส่วนต่อขยายที่ 2 เข้ามาส่วนต่อขยายที่ 1 เช่น จากเคหะสมุทรปราการ มา อ่อนนุช ค่าแรกก็เข้ายังเท่าเดิม ขณะเดียวกันสำหรับเส้นทางสายสีเขียวเหนือ (หมอชิต-คูคต) ที่ยังไม่เคยเก็บค่าโดยสาร ก็จะเก็บค่าแรกเข้า 15 บาท เช่นกัน โดยเมื่อเข้าสู่ส่วนที่เป็นไข่แดงที่มีการเก็บค่าโดยสารตามปกติตั้งแต่ 16-44 บาท จะทำให้ค่าโดยสารสูงสุดอยู่ที่ 59 บาทเหมือนเดิม
สูตรที่ 2.ค่าโดยสาร 14+2x ที่จะมีการเก็บค่าแรกเข้า 14 บาท ร่วมกับค่าโดยสารเฉลี่ยสถานีละ 2 บาท ซึ่งตรงนี้จะมีการปรับใช้สำหรับส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 รวมกันในอนาคต ซึ่งค่าโดยสารสูงสุดที่ผู้โดยสารต้องจ่ายอยู่ที่ 59 บาทเช่นกัน
โดยทั้ง 2 สูตรนั้น จะทำให้กทม.มีรายได้จากการเก็บค่าโดยสารใกล้เคียงกัน สูตรที่ 1 ประมาณ 1,650 ล้านบาท สูตรที่ 2 ประมาณ 1,670 ล้านบาท ต่างกันประมาณ 20-30 ล้านบาท สำหรับการดำเนินการหลังจากนี้ หากมีการบรรจุเป็นวาระการประชุมหารือกับทาง ส.ก. เพื่อตั้งงบประมาณอุดหนุนแล้วเสร็จ กทม. จะทำเรื่องแจ้งผู้เดินรถ คาดว่าคงใช้เวลาราว 3-4 สัปดาห์ในการปรับระบบการเก็บค่าโดยสารหลังบ้าน
นายชัชชาติ กล่าวว่า แนวคิดตอนนี้ คงต้องหารายได้ส่วนอื่นที่ไม่ใช่ค่าโดยสารเพิ่ม เช่น ค่าโฆษณาบนตัวขบวนรถไฟฟ้า หรืออาจต้องเปิดประมูลพื้นที่เชิงพาณิชย์ ต้องไปดูว่าเก็บเพิ่มอย่างไร เพื่อลดเรื่องการขาดทุน ต้องพยายามเจรจาเพื่อให้มีรายได้มากที่สุด
เมื่อถามถึงความคืบหน้าการเจรจาค่าแรกเข้ากับเอกชน รศ.ดร.วิศณุ กล่าวว่า มีการคุยนอกรอบกันแล้ว แต่รถไฟฟ้าสายสีเขียวเส้นสัมปทาน ทางเอกชนได้นำเข้าไปอยู่ในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง หรือ BTSGIF ขั้นตอนของทาง กทม.ต้องทำหนังสือเพื่อไปเจรจาขอลดค่าแรกเข้า ซึ่งทางเอกชนต้องไปปรึกษากับทางกองทุนฯ อีกรอบหนึ่ง
นายชัชชาติ กล่าวเสริมว่า เป็นเรื่องเงื่อนไขของการลงทุน อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ลำบาก ซึ่ง กทม.ต้องให้ความยุติธรรมกับทางเอกชนด้วย เพราะมีนักลงทุนมีสัญญากันอยู่
เมื่อถามว่าการเก็บค่าโดยสารในส่วนต่อขยายที่ 2 จะกระทบต่อคะแนนนิยมของผู้ว่าฯชัชชาติหรือไม่ นายชัชชาติกล่าวว่า
“ผมว่าถ้าเก็บได้คะแนนนิยมเพิ่มนะ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้นั่งรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ตอนนี้เราเอาเงินของคนทั้งกรุงเทพฯ มาสนับสนุนอยู่ถูกไหม คนกรุงเทพฯ 5 ล้านคน แต่คนนั่งอยู่ประมาณ 1.6 แสนคน ตอนนี้เงินที่จะมาช่วยค่าอาหารเด็ก ผู้สูงอายุ สุดท้ายมันก็ไหลไปที่ค่ารถไฟฟ้า แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องคะแนนเสียงหรอก มันเป็นเรื่องความถูกต้อง ความยุติธรรมมากกว่า” นายชัชชาติกล่าว
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก
Line @Matichon ได้ที่นี่

