‘ถึงเธอจะไม่มีใคร แต่ ธนบุรี มี คลอง วิถีชีวิตริมคลองที่น่าหลงใหล ไปจนถึงพื้นที่สีเขียวริมคลองที่ยังคงอุดมสมบูรณ์เปรียบเสมือนปอดของกรุงเทพฯ แม้ความทันสมัยจะนำพาความเจริญเข้ามาพร้อมกับการตัดถนน ผู้คนจากที่เคยสัญจรทางน้ำก็หันไปใช้ทางด่วน รถไฟฟ้า คลองจึงถูกลดความสำคัญลงไป ไม่ได้รับการดูแลขุดลอกทำให้เกิดความตื้นเขิน จนสุดท้ายคลองไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป เป็นเพียงทางระบายน้ำของเมือง’

นี่คือสิ่งที่เพจ ‘ธนบุรีมีคลอง’ ต้องการสื่อถึงภาครัฐและสังคมไทย ส่วนหนึ่งในโครงการธนบุรีมีคลองของสถาบันอาศรมศิลป์ เครือข่ายชุมชนริมน้ำในพื้นที่ธนบุรี และภาคส่วนต่างๆ เพื่อการออกแบบพัฒนาเมืองอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืนในพื้นที่เขตธนบุรี
ในปี 2564 พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผุดโครงการการท่องเที่ยวทางน้ำบนเส้นทางคลองสายประวัติศาสตร์ฝั่งธนบุรี เพื่อกระตุ้นธุรกิจการท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในกรุงเทพมหานคร แต่โครงการนี้ไม่ราบรื่นอย่างที่คิด
กลางเดือนมกราคมปีนี้ ‘โครงการกรีนธนบุรี’ จัดเสวนา ‘รวมกัลยาณมิตร ชุบชีวิตคูคลองฝั่งธนบุรี’ เพื่อนำเสนอถึงปัญหาและหารือแนวทางแก้ไขร่วมกับเหล่าตัวแทนหลากหลายชุมชน พร้อมด้วยนักวิชาการและว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

คลองสำเหร่-บางกอกใหญ่
สวนพลูที่หายไปและเส้นทางเรือที่ถูกจำกัด
ปิ่นทอง วงษ์สกุล ประธานกรรมการชุมชนกุฎีจีน เล่าว่า ในย่านของตนมีผู้คน 3 ศาสนา ที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติ ทั้งคริสต์ อิสลาม และพุทธ บนสายน้ำแถบปากคลองบางหลวง-แม่น้ำเจ้าพระยา มีความเป็นมาตั้งแต่สมัยอยุธยา บรรพบุรุษในย่านมีประวัติศาสตร์ร่วมต่อสู้กู้แผ่นดินหลังเสียกรุงครั้งที่ 2 ต่อมาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีพระราชทานที่ดินให้อยู่อาศัยสืบมา โดยมีการส่งต่ออัตลักษณ์วัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่น
แหล่งท่องเที่ยวสำคัญมีมากมาย อาทิ ศาลเจ้าเกียนอันเกง วัดประยุรวงศาวาส วัดกัลยาณมิตร วัดซางตาครู้ส มัสยิดกุฎีขาว ส่วนข้าวปลาอาหารโดดเด่นคือ ขนมกุฎีจีน ขนมจีบต้ม รวมถึงขนมฝรั่งที่ทำกันมาถึง 155 ปี
อย่างไรก็ตาม ปัญหาของชุมชนนี้คือการใช้เส้นทางการเดินเรือมีจำกัดและมลพิษทางน้ำ

“เส้นทางในการเดินเรือคือคลองบางหลวงเชื่อมกับคลองบางกอกใหญ่ที่สามารถใช้ได้ นอกจากนั้นก็ไม่สามารถใช้ทางน้ำได้แล้ว ทั้งจากการทำเขื่อน ทำให้มีกำหนดเวลาการเปิด-ปิดประตูทางน้ำ การใช้เรือจึงยากในการกำหนดเวลาเพราะบางครั้งนักท่องเที่ยวก็มาสายบ้าง” ปิ่นทองกล่าว
ปัญหาข้างต้น ไม่แตกต่างจากชุมชนย่านตลาดพลู ซึ่ง พีรวัฒน์ บูรณพงศ์ตัวแทนกลุ่ม ‘ตลาดพลูดูดี’ เล่าว่า คลองบางสายในย่านดังกล่าวขาดการให้ความสำคัญ เช่น คลองสำเหร่ที่เคยใช้สัญจรทางเรือกลายเป็นเพียงทางระบายน้ำ ในขณะที่สวนพลูและสวนทุเรียนหายไปตามสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลง
หากย้อนไปในอดีต ตลาดพลูเป็นแหล่งตั้งถิ่นฐานคนจีนโพ้นทะเลสมัยอยุธยา เป็นชุมทางคลองเส้นสำคัญ ต่อมามีทางรถไฟและถนนตัดผ่าน จึงเป็นย่านตลาดสำคัญของเมืองธนบุรี มีวัดไทยพุทธเก่าสำคัญหลายวัด จนปรากฏศาลเจ้าเก่าแก่ริมคลองและตรอกหลายแห่ง มีโรงเรียนกงลี้จงซันที่มีชื่อเสียง รวมทั้งมีคนมุสลิมตั้งถิ่นฐานจนมีมัสยิดสวนพลู และอาหารจีนต่างๆ เช่น อิ่วก้วย กุยช่าย ขนมเบื้อง หมูแดง กล้วยเชื่อม เป็นต้น

(ภาพจากเพจเที่ยวคลอง ต้องลองเที่ยว และวิถีคนคลอง)
‘บางประทุน’ ถนนรุกคืบ
เกษตรหดหาย (ส้ม) บางมด ก็ ‘ไม่เหมือนเดิม’
ในขณะที่ย่านบางประทุนที่มีคลองบางประทุนเป็นสายน้ำสำคัญ เชื่อมกับคลองสายอื่นๆ ที่โยงใยสัมพันธ์ อาทิ คลองด่าน คลองสนามไชย คลองบางขุนเทียน คลองบางมด ฯลฯ ก็ประสบปัญหาที่คืบคลานเข้ามาพร้อมคำว่า ‘ความเจริญ’
สัมพันธ์ มีบรรจง ตัวแทนกลุ่มคนรักบางประทุน และ นริน มีบรรจง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ในย่านดังกล่าว ร่วมกันเล่าว่า ทำให้ทำเกษตรเป็นหลักไม่ได้ดังเดิม อีกทั้งส่งผลกระทบต่อการสัญจรทางเรือ นอกจากนี้ ยังมีการซื้อขายที่ดินเพื่อไปใช้ในทางธุรกิจมากขึ้น จนความเป็นชุมชนเกษตรหายไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันก็ยังมีการทำสวนไม้ผล เช่น การปลูกหมาก กล้วย และมะพร้าว เป็นต้น ทั้งยังมีการปลูกลิ้นจี่ที่ได้ขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications หรือ GI) ปี 2562 ซึ่งเป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่ง ปัจจุบันยังปรับตัวหันมาทำตลาดผลไม้ออนไลน์ เช่น ตะลิงปลิง และกล้วย

ปมปัญหานี้ ผศ.ดร.กัญจนีย์ พุทธิเมธี อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี สถาบันการศึกษาที่อยู่ใกล้เคียงกับพื้นที่ ร่วมพูดคุยโดยเน้นย้ำว่า มีการพูดคุยกับชุมชนรอบมหาวิทยาลัย หยิบยกศักยภาพและปัญหาจากชุมชน มาสร้างแนวทางการขับเคลื่อนอนุรักษ์ พัฒนา และแก้ไขความเดือดร้อน
ส่วน สนธยา เสมทัพพระ ตัวแทนชุมชนบางมด ซึ่งเดิมปลูกไม้ผลเลื่องชื่ออย่าง ‘ส้มเขียวหวานบางมด’ สะท้อนปัญหาว่า ปัจจุบันส้มบางมดมีรสชาติที่เปลี่ยนไปจากเดิมด้วยหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพดินและน้ำแล้ว รวมถึงเทคนิคการปลูกที่ได้รับขึ้นทะเบียน GI จากรุ่นเก่าเริ่มหายไป เกษตรกรที่ทำสวนส้มเหลือไม่มาก แต่ตอนนี้ก็มีสินค้าทดแทนส้มคือมะพร้าว ทำให้บางมดเป็นพื้นที่ปลูกมะพร้าวเยอะสุดในกรุงเทพฯ ปัจจุบันมีการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน 3 กลุ่ม ดำเนินกิจการสินค้าเกษตร จัดการเส้นทางท่องเที่ยว และทุกปีมีการจัดเทศกาล ‘บางมดเฟส’
สำหรับปัญหาด้านการสัญจรทางน้ำ ปรากฏว่ามีการสร้างสะพานข้ามคลองพื้นต่ำ เรือจึงไม่อาจลอดสะพานได้ ปัญหาประตูน้ำที่ขวางการสัญจรทางเรือ และปัญหาท่าเทียบเรือที่ไม่เชื่อมโยงเส้นทางบกอื่นๆ

บางเชือกหนัง-บางอ้อ วิถีเปลี่ยน คลองก็เปลี่ยน
มาถึงคลองบางเชือกหนัง ย่านภาษีเจริญ ซึ่งเป็นที่ตั้งของชุมชนพูนบำเพ็ญ ที่แม้มีการพัฒนาตลาดบางเชือกหนังเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่คุณภาพน้ำในคลองเมื่อครั้งอดีตเคยดีกว่านี้ ดังเช่นความในใจของ รัตนประโชติ พูนบำเพ็ญ ประธานชุมชนพูนบำเพ็ญ ที่เล่าว่า หลังจากมีถนนบางแวก ชุมชนพูนบำเพ็ญได้เปลี่ยนวิถีจากใช้เรือในคลองมาสัญจรทางถนน ทำให้สภาพน้ำลำคลองแย่ลง จากเดิมที่ใช้น้ำและเรือในคลองที่น้ำยังดี เดิมเคยมีวิถีชีวิตเดิม เช่น การทำขนมมงคล ขนมไทย สวนกล้วยไม้ สวนผัก แต่ก็ได้ถูกละเลยไปเพราะสภาพชุมชนเปลี่ยนจากวิถีเกษตรกลายเป็นพื้นที่อยู่อาศัย สำหรับการท่องเที่ยวทางน้ำยังต้องเสนอให้รัฐจัดระบบการเดินเรือ ทั้งท่าเทียบ และสถานที่ในชุมชนต่อไป
ด้าน ภูมิ ภูติมหาตมะ อาจารย์คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ชาวชุมชนบางอ้อ เล่าว่า เดิมบางอ้อเป็นย่านสวนผลไม้นานาชนิดและเต็มไปด้วยคลอง เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชาวมุสลิมซึ่งเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่ ปรากฏมรดกวัฒนธรรมงดงาม เช่น มัสยิดบางอ้อร้อยปีที่สวยงามเป็นสง่า มรดกอาหารมุสลิมดั้งเดิม เช่น ข้าวอาซูรอ และแกงชนิดต่างๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อความเปลี่ยนแปลงมาถึง ความเป็นเมืองแทรกตัวกับชุมชนดั้งเดิม ทำให้วิถีชีวิตคลองแบบเดิมหายไป ชุมชนและสวนบางแห่งหายไป แต่การเข้าถึงชุมชนผ่านเส้นทางบกก็สะดวกขึ้น จึงเกิดการเปิดร้านอาหารพื้นบ้านและร้านกาแฟ สร้างรายได้แก่ชาวชุมชน

อย่าลืม ‘เส้นเลือดฝอย’
คูคลอง ไม่ต่าง ‘ระบบราง’ รัฐต้องให้เกียรติชุมชน
ปิดท้ายด้วยมุมมองและวิสัยทัศน์ของ 2 ว่าที่ผู้สมัครชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม.
รสนา โตสิตระกูล มองว่า ในความเป็นจริง คลองไม่ต่างจากระบบราง สามารถสัญจรได้เร็วเหมือนรถไฟฟ้า แต่การกั้นทางเดินเรือสะท้อนให้เห็นผู้บริหารบ้านเมืองไม่ให้ความสำคัญ พื้นที่ฝั่งธนฯที่เคยเป็นกรุงธนบุรีในอดีต เคยเป็นเมืองท่าค้าขาย และมีคลองจำนวนมาก แต่ปัจจุบันนี้คลองเน่าเสียหมดแล้ว เพราะการพัฒนาได้ทิ้งวิถีชีวิตเดิมของชุมชน ทั้งยังมีการถมถนนทำให้คลองกลายเป็นแค่ที่ระบายน้ำ
“การบริหารท้องถิ่นเป็นการบริหารเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชน ควรมีการหารือและให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการออกความเห็น เพราะชาวบ้านรู้วิธีแก้ปัญหามากกว่า และทำคลองให้เป็นทางสัญจรและที่ค้าขาย ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลง กทม.ประชาชนต้องส่งเสียงออกมาและบีบผู้ที่จะมาเป็นผู้ว่าฯคนต่อไปให้แก้ไขตามสิ่งที่ประชาชนต้องการ” รสนากล่าว
ด้าน ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ระบุว่า ปัญหาของพื้นที่ฝั่งธนฯรวมถึงกรุงเทพฯหลายพื้นที่ แบ่งเป็น 4 ประเด็น ได้แก่
1.กรุงเทพฯมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรวดเร็ว หากไม่เตรียมตัวรับมือปัญหาอาจหนักขึ้น
2.ที่ผ่านมาการพัฒนาในหลายด้านเน้นโครงการใหญ่ แต่ลืมเส้นเลือดฝอยที่จะเดินทางไปสู่เส้นเลือดใหญ่ หรือการเดินทางของชาวบ้านที่เดินทางไปยังขนส่งมวลชน เช่น รถไฟฟ้าสายต่างๆ
3.หัวใจของการอยู่ในเมืองคือตลาดแรงงาน คำถามคือชาวบ้านจะสามารถใช้อะไรเพื่อสู้กับสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ หัวใจที่จะตอบโจทย์คือ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ เช่น การเพาะปลูกพืชแบบญี่ปุ่นที่มีฟาร์มอยู่ในเมือง เพื่อให้คนตัวเล็กตัวน้อยสามารถดำรงอยู่ได้ ที่ผ่านมา กทม.ไม่เคยสนใจเศรษฐกิของชุมชนเลย ภาคชุมชนจึงต้องพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ขึ้นมา สร้างแหล่งท่องเที่ยว สร้างเกษตรสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาครัฐต้องเข้าไปช่วยเหลือ
4.ความสำเร็จทั้งหมดไม่ได้ขึ้นกับภาครัฐ แต่หัวใจคือความเข้มแข็งของชุมชน และรัฐให้เกียรติชุมชน
“รัฐต้องไม่สั่งการ แต่นำชุมชนมาเป็นทุน เป็นพวก ไม่ใช่มองชุมชนเป็นภาระ อย่าหวังว่าภาครัฐจะมาแก้ปัญหาทั้งหมด ต้องเอาชุมชน นักวิชาการ และเอกชนมาร่วมมือกันจึงจะสำเร็จ”
ณัฏฐ์นรี เฮงสาโรชัย