เผยแพร่: ปรับปรุง: โดย: ผู้จัดการออนไลน์
“ปัญญาพลวัตร”
“พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต”
หากย้อนไปมองยุคก่อนการรัฐประหารปี 2557 สถานการณ์การเมืองและการเลือกตั้งในกรุงเทพมหานครเป็นการแข่งขันกันระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคเพื่อไทย ผู้เลือกตั้งกรุงเทพฯ มีแนวโน้มนิยมพรรคประชาธิปัตย์มากกว่าพรรคเพื่อไทยอยู่ไม่น้อยทีเดียว อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งในปี 2562 สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อสนามกรุงเทพฯมีผู้เล่นใหม่ที่มีศักยภาพสูงเดินเข้าสู่สนามเลือกตั้งเพิ่มขึ้นสองพรรคคือ พรรคอนาคตใหม่กับพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งส่งผลให้พรรคประชาธิปัตย์ประสบความพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ขณะที่พรรคเพื่อไทยเอง แม้ได้รับผลกระทบไม่รุนแรงเท่ากับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ก็ประสบกับความเสียหายระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ความคิดทางการเมืองของผู้คนมีพลวัต แม้ว่าบางส่วนอาจมีความคิดและจุดยืนในการยึดมั่นกับพรรคการเมืองบางพรรคโดยไม่เปลี่ยนแปลง แต่ก็มีผู้คนจำนวนมากที่เปลี่ยนแปลงความนิยมต่อผู้นำการเมืองและพรรคการเมือง ผู้เลือกตั้งกรุงเทพฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงความนิยมและการตัดสินใจในการเลือกพรรคการเมืองค่อนข้างสูง นอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานทางด้านอุดมการณ์ทางการเมืองที่มีส่วนอย่างมากในการตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองของชาวกรุงเทพฯแล้ว ปัจจัยหลักอีกประการที่ทำให้ชาวเมืองหลวงเปลี่ยนการตัดสินใจคือ การรับรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติงานทางการเมืองของนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ปรากฏออกมาสู่สาธารณะ
ในช่วงเลือกตั้งปี 2562 ผู้เลือกตั้งกรุงเทพฯ มีความนิยมต่อ “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” มากกว่านักการเมืองคนอื่น ๆ เพราะเชื่อในคำขวัญหาเสียงที่ว่า “ความสงบจบที่ลุงตู่” และคาดว่าพลเอกประยุทธ์จะนำความสงบเรียบร้อยมาสู่สังคม รวมทั้งคาดหวังว่ารัฐบาลประยุทธ์จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ทว่า หลังจากพลเอกประยุทธ์บริหารประเทศได้ระยะหนึ่ง ผู้เลือกตั้งกรุงเทพฯ จำนวนไม่น้อยพบว่า สิ่งที่พวกเขาคาดหวังกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นไม่สอดคล้องกัน ในปี 2563 ความขัดแย้งทางการเมืองและการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลเกิดขึ้นเกือบตลอดทั้งปี แม้การชุมนุมเบาบางลงในปี 2564 แต่นั่นเป็นเพราะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มิใช่ฝีมือในการจัดการความขัดแย้งของรัฐบาลแต่อย่างใด รากเหง้าของความขัดแย้งทางการเมืองยังคงดำรงอยู่ โดยไม่ได้รับการแก้ไข ยิ่งกว่านั้นผู้เลือกตั้งกรุงเทพฯ ยังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจนานัปการ ทั้งการล้มละลายของกิจการ การลดลงของรายได้ การตกงาน และราคาสินค้าอุปโภคบริโภคสูงขึ้น ขณะเดียวกันปัญหาสังคมอย่างการทุจริตคอร์รัปชั่นและยาเสพติดก็ไม่มีสัญญาณว่าลดลง แต่กลับทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นไปเสียอีก
กล่าวได้ว่าการบริหารประเทศของรัฐบาลประยุทธ์สร้างความผิดหวังแต่ผู้เลือกตั้งกรุงเทพฯ ค่อนข้างมากทีเดียว ผู้เลือกตั้งกรุงเทพฯ จึงสนับสนุนพลเอกประยุทธ์น้อยลงตามลำดับ ในการสำรวจการตัดสินใจของชาวเมืองหลวงว่าจะเลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรีของนิด้าโพลครั้งล่าสุดเมื่อปลายเดือนตุลาคม 2565 ปรากฏว่า มีชาวกรุงเทพฯ เพียงร้อยละ 15.2 เท่านั้นที่ยังคงตัดสินใจเลือกพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี
ในทางกลับกัน ผู้เลือกตั้งกรุงเทพฯ มีแนวโน้มตัดสินใจเลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลเป็นนายกรัฐมนตรีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 12.5 ในเดือนกันยายน 2564 เป็นร้อยละ 20. 4 ในเดือนตุลาคม 2565 ซึ่งทำให้นายพิธากลายเป็นผู้นำทางการเมืองที่ผู้เลือกตั้งกรุงเทพฯ ตัดสินใจเลือกมากที่สุด โดยมีคะแนนนิยมขึ้นนำพลเอกประยุทธ์อย่างชัดเจน ความนิยมที่นายพิธาได้รับจากผู้เลือกตั้งกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่มาจากชนชั้นกลางที่เป็นนักศึกษา และเป็นผู้ทำงานในองค์การทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีอายุระหว่าง 18-35 ปี
อย่างไรก็ตาม ความนิยมที่นายพิธาได้รับ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับความนิยมของพรรคก้าวไกล เพราะในฐานะที่เป็นผู้นำการเมือง นายพิธาแสดงบทบาทได้เพียงในระดับปานกลาง ยังไม่โดดเด่นเท่าที่ควร แต่ที่แสดงบทบาทได้อย่างโดดเด่นคือ การทำงานการเมืองในภาพรวมของพรรคก้าวไกล ประเด็นนี้เห็นได้ชัดเจนจากการที่คะแนนนิยมของพรรคสูงกว่าคะแนนนิยมของผู้นำพรรค ซึ่งหมายความว่า คะแนนนิยมของพรรคที่เพิ่มขึ้นมีส่วนช่วยทำให้คะแนนนิยมของนายพิธาเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ผู้เลือกกรุงเทพฯ ยังค่อนข้างลังเลในการสนับสนุน น.ส. แพทองธาร ชินวัตร มีเพียงร้อยละ 14.1 เท่านั้นที่สนับสนุนเธอ (ดูภาพที่ 1) ซึ่งต่ำกว่าคะแนนนิยมที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยประมาณครึ่งหนึ่ง พรรคเพื่อไทยได้รับการสนับสนุนถึงร้อยละ 28.60 (ดูภาพที่ 3) นั่นหมายความว่า ในสายตาของผู้เลือกตั้งกรุงเทพฯที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยเอง ก็มองว่า น.ส. แพทองธาร ยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนักในฐานะนายกรัฐมนตรี
สำหรับผู้นำทางการเมืองคนอื่น ๆ ในการสำรวจเมื่อเดือนตุลาคม 2565 บุคคลที่ผู้เลือกตั้งกรุงเทพฯนิยมอยู่บ้าง หรืออาจเรียกว่าเป็นผู้นำแถวสอง ที่ได้ร้อยละ 5 ขึ้นไป แต่ไม่ถึงร้อยละ 10 มีอยู่ 3 คน คือ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส และนายกรณ์ จาติกวณิช ส่วนผู้นำแถวสาม ที่ได้รับการสนับสนุนระหว่างร้อยละ 1 ถึง ร้อยละ 5 มีอยู่ 3 คนเช่นเดียวกันคือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นายอนุทิน ชาญวีรกุล และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส่วนผู้นำพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่เหลือไม่อยู่ในสายตาของผู้เลือกตั้งกรุงเทพฯแต่อย่างใด
ที่น่าตั้งข้อสังเกตคือ นายอนุทิน หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย แม้ว่าระหว่างการเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขพยายามแสดงบทบาททางการเมืองในหลายเรื่อง และได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนไม่น้อยในการนำเสนอข่าว รวมถึงการประกาศว่า พรรคภูมิใจไทยจะเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลสมัยหน้า ซึ่งหากทำได้ก็หมายความว่านายอนุทินจะได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่หากพิจารณาคะแนนนิยมที่ได้รับจากผู้เลือกตั้งกรุงเทพฯ แล้ว ดูเหมือนว่า ผู้เลือกตั้งกรุงเทพฯ เกือบทั้งหมดไม่สนับสนุนนายอนุทิน ดังนั้น หากนายอนุทินสามารถขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้จริงหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า ก็อาจประสบกับแรงต้านจากผู้เลือกตั้งกรุงเทพฯ และอาจต้องเผชิญกับความยากลำบากในการบริหารประเทศไม่น้อยทีเดียว
หัวหน้าพรรคการเมืองอีกพรรคหนึ่งที่ได้รับคะแนนนิยมต่ำมากทั้งที่มีพรรคมีคะแนนนิยมอยู่พอสมควรคือหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ การมีหัวหน้าพรรคได้รับการสนับสนุนจากผู้เลือกตั้งกรุงเทพฯ ต่ำเช่นนี้ ทำให้สมรรถนะในการแข่งขันของพรรคประชาธิปัตย์มีแนวโน้มลดลง และนั่นหมายความว่าโอกาสในการฟื้นตัวของพรรคประชาธิปัตย์ในสนามเลือกตั้งกรุงเทพฯ มีความเป็นไปได้ค่อนข้างต่ำ
ผมนำข้อมูลที่ยังไม่เคยกล่าวถึงเรื่องหนึ่งมาเสนอในที่นี้ด้วย นั่นคือนักการเมืองแต่ละคนมีสัดส่วนการสนับสนุนจากผู้ชายหรือผู้หญิงเท่าไร หรือนักการเมืองแต่ละคนมีแฟนคลับเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงมากกว่ากัน ข้อมูลจากการสำรวจปรากฏว่า สามารถจำแนกการสนับสนุนนักการเมืองออกเป็นสามกลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรกคือนักการเมืองที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ชายกับผู้หญิงใกล้เคียงกัน ประกอบด้วย นายพิธา (ชาย 19.96 % หญิงร้อยละ 20.78 %) น.ส.แพทองธาร ( ชาย 13.74 % หญิง 14.4%) เกี่ยวกับการสนับสนุนผู้นำทางการเมืองระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง และคุณหญิงสุดารัตน์ ( ชาย 7.52% หญิง 7.85%)
กลุ่มที่สอง นักการเมืองที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้หญิงมากกว่าผู้ชายอย่างมีนัยสำคัญ หรือเป็นนักการเมืองที่แฟนคลับของพวกเขาเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชายนั่นเอง ได้แก่ พลเอกประยุทธ์ จันท์โอชา (ชาย 12 % หญิง 17.91 %) และนายกรณ์ (ชาย 4.91 % หญิง 8.49 %) และกลุ่มที่สามคือ นักการเมืองที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ชายมากกว่าผู้หญิง หรือมีแฟนคลับเป็นชายมากกว่าหญิง อันได้แก่ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ (ชาย 9.05 % หญิง 4.06 %) นายสมคิด (ชาย 4.91 % หญิง 1.88 %) และนายอนุทิน ( ชาย 3.05 % หญิง 1.39 %)
สำหรับความนิยมและการตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองในกรุงเทพมหานคร ปรากฏว่า ผู้เลือกตั้งกรุงเทพฯ นิยมและตัดสินใจเลือกพรรคเพื่อไทยกับก้าวไกลใกล้เคียงกัน และการสนับสนุนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะหนึ่งปีที่ผ่านมา สำหรับการสำรวจครั้งล่าสุด ร้อยละ 28.6 ของผู้เลือกตั้งกรุงเทพฯ ตัดสินใจเลือกพรรคเพื่อไทย และร้อยละ 26.1 ตัดสินใจเลือกพรรคก้าวไกล กล่าวได้ว่าพรรคการเมืองทั้งสองมีสมรรถนะในการแข่งขันสูง และมีสถานภาพนำในสนามเลือกตั้งกรุงเทพฯ ครั้งหน้า เวทีการแข่งขันเลือกตั้งในกรุงเทพฯ จะเป็นการช่วงชิงกันระหว่างสองพรรคนี้
ขณะที่พรรคพลังประชารัฐซึ่งเคยมีความสามารถในการแข่งขันสูงในการเลือกตั้งครั้งก่อน ปรากฏว่าในปัจจุบันคะแนนนิยมตกต่ำลงมาก มีเพียงร้อยละ 9.15 ของผู้เลือกตั้งกรุงเทพฯที่ยังคงตัดสินใจเลือกพรรคนี้อยู่ เช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งได้รับการสนับสนับสนุนใกล้เคียงกับพรรคพลังประชารัฐ ตัวเลขเหล่านี้บ่งบอกว่าในปัจจุบัน ทั้งพรรคพลังประชารัฐและประชาธิปัตย์มีความสามารถในการแข่งขันต่ำ นั่นหมายความว่าโอกาสที่พรรคทั้งสองจะประสบชัยชนะเลือกตั้งในสนามกรุงเทพฯ มีค่อนข้างน้อย
ความคิดและการตัดสินใจทางการเมืองของผู้เลือกตั้งกรุงเทพฯ เป็นดัชนีชี้วัดทิศทางการเมืองไทยได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า โดยเฉลี่ยแล้ว คนกรุงเทพฯรับรู้ข้อมูลข่าวสารทางการเมืองมากกว่าคนต่างจังหวัด และมีบทบาทสูงในการสร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญในอดีตหลายครั้งด้วยกัน ความคิดเห็นทางการเมืองของชาวกรุงเทพฯ ที่สะท้อนผ่านการสำรวจความนิยมต่อผู้นำทางการเมืองและการตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองที่ปรากฎออกมาในเดือนตุลาคม เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า การเปลี่ยนแปลงความคิดทางการเมืองในระดับประชาชนเกิดขึ้นแล้ว และจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในอนาคต