ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและบริหารความเสี่ยง
สาขาวิชาปัญญาและการวิเคราะห์ธุรกิจ
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
อนุกรรมาธิการติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการดำเนินการ
ตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข วุฒิสภา
หลายคนนั้นมีความเข้าใจว่ากรุงเทพฯเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย ดังนั้นการแพทย์และการสาธารณสุขของไทยนั้นก้าวหน้าเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก หมอไทยเก่งมาก แล้วในเมืองหลวงน่าจะมีทั้งหมอและพยาบาลเพียงพอ
แต่ข้อเท็จจริงประการหนึ่งซึ่งสำคัญมากก็คือว่าในบรรดาเขตสุขภาพทั้ง 13 เขตทั่วประเทศไทย เขตสุขภาพที่ 13 คือกรุงเทพฯนั้นมีปัญหาด้านการบริการสาธารณสุขโดยเฉพาะการเข้าถึงบริการสาธารณสุขมากที่สุดรุนแรงที่สุด ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
ประการแรก กรุงเทพฯมีพลเมืองตามทะเบียนบ้านไม่มากนักอาจจะราว 5-6 ล้านคน แต่มีประชากรแฝงซึ่งเป็นคนต่างจังหวัดและอพยพเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ อีกเกือบเท่าตัว ทำให้กรุงเทพฯนั้นอาจจะมีประชากรรวมทั้งสิ้นเกือบ 10 กว่าคนหรือ 12 ล้านคน แต่การจัดตั้งโรงพยาบาลหรือสถานบริการสาธารณสุขนั้นคำนวณมาจากจำนวนประชากรตามทะเบียนบ้าน ของสำนักทะเบียนราษฎร์ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ อย่างหนักโดยเฉพาะเตียงโรงพยาบาลนั้นไม่เพียงพอ เตียงผู้ป่วยวิกฤติและเครื่องช่วยหายใจยิ่งไม่เพียงพอ
ประการที่สอง หน่วยบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขในกรุงเทพฯ นั้น ขึ้นอยู่กับกระทรวงสาธารณสุขเพียงเล็กน้อย อาจจะมีเพียงโรงพยาบาลราชวิถี และโรงพยาบาลนพรัตน์ ที่เป็นกำลังหลัก และมีศูนย์บริการสาธารณสุขอีกนิดหน่อย และมีอีกส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับกระทรวงอุดมศึกษาหรืออว. เช่น โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ตลอดจนที่ขึ้นอยู่กับกองทัพ เช่น โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โรงพยาบาลพระปิ่นเกล้า โรงพยาบาลภูมิพล เป็นต้น
การที่มีสังกัดมากมายหลายสังกัดหลายกระทรวงและไม่เป็นเอกภาพเช่นนี้ทำให้ระบบการส่งต่อผู้ป่วยหรือการจัดสรรทรัพยากรทางการแพทย์แบ่งปัน (Medical resources sharing) ซึ่งกันและกันทำได้ค่อนข้างลำบากแม้กระทั่ง สปสช. เขต ก็ไม่มีอำนาจซื้ออะไรและไม่มีอำนาจในการประสานงานหรือสั่งการเท่าที่ควรเพราะอยู่คนละสังกัด และอัตราการจ่ายของสปสช. นั้นต่ำมากจนไม่มีใครสนใจในอำนาจซื้อของสปสช. เขต13
ประการที่สาม แม้ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลจะมีโรงพยาบาลเอกชนเป็นจำนวนมากมายแต่โรงพยาบาลเอกชนเหล่านั้นก็มีค่าใช้จ่ายสูงและมีต้นทุนที่สูงกว่า อีกทั้งโรงพยาบาลเอกชนเหล่านี้ก็มุ่งแสวงหากำไรทำให้ราคาค่าบริการทางการแพทย์ของโรงพยาบาลเอกชนเหล่านี้มีราคาที่สูงมากในขณะที่ประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครนั้นไม่ได้มีฐานะดีเพียงพอที่จะเข้าถึงหรือใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนได้
วันนี้สถิติจํานวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ของ ไทยทำ New High ประมาณ 7000 กว่ารายใน 1 วันซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยจากในเขตกรุงเทพฯ
ในขณะเดียวกันสถิติจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรค COVID งั้นก็สูงถึง 70 กว่าคนอีกเช่นกันหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ จํานวนผู้ติดเชื้อต่อวันน่าจะทะลุ 10,000 และทะลุ 20,000 ในอีกไม่เกิน 10 วันหากท่านได้ลองวาดกราฟดูจะเห็นว่าจำนวนสถิติผู้ติดเชื้อรายใหม่นั้นพุ่งขึ้นเป็นฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียลอันน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
เตียงในโรงพยาบาลหลัก ๆ ไม่ว่าจะศิริราช รามาธิบดี จุฬาลงกรณ์ หรือแม้แต่โรงพยาบาลเอกชนนั้นก็เต็มจนล้นแล้ว
ในความเป็นจริงเราต้องยอมรับว่าขณะนี้มีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่ติด COVID -19 และรอเตียงเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจนกระทั่งเสียชีวิตที่บ้านจำนวนหนึ่ง
แปลว่าขณะนี้ระบบสุขภาพของเราแบกรับจนเต็มที่แล้ว ต่อให้มีเครื่องช่วยหายใจมีเตียงขยายโรงพยาบาลสนามและขยายโรงพยาบาลสนาม ICU มากขึ้นเพียงใดนั้นก็ต้องยอมรับว่าไม่น่าจะเพียงพอแล้ว แล้วจะหาแพทย์ พยาบาล มาจากไหนมาทำงานให้เพียงพอ
พูดง่าย ๆ ว่าขณะนี้เราอยู่ในภาวะมหาสงครามที่เรากำลังจะพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงเพราะกรุงเทพฯกำลังจะแตกในอีกไม่กี่วัน
จำนวนบุคลากรทางการแพทย์และการสาธารณสุขนั้นมีไม่เพียงพอและที่ทำงานอยู่ก็เหนื่อยล้าเต็มที
เราเริ่มมีการส่งออกผู้ป่วยไปรักษายังโรงพยาบาลในต่างจังหวัดเนื่องจากกำลังของโรงพยาบาลในกรุงเทพฯนั้นล้นเต็มทีจนไม่อาจแบกรับต่อไปไม่ไหว
ในขณะเดียวกันประชาชนบางส่วนก็ขาดวินัยการ์ดตกไม่ป้องกันตัวเอง ต้องยอมรับว่าบางส่วนซึ่งได้รับการฉีดวัคซีนแล้วนั้นก็กลับมีพฤติกรรมประมาทเลินเล่อมากกว่าเดิม ป้องกันตัวเองน้อยกว่าเดิม เว้นระยะห่างทางสังคมแย่กว่าเดิม
เราต้องไม่ลืมข้อเท็จจริงที่ว่าวัคซีน COVID-19 ทุกตัวนั้น ไม่มีตัวใดที่เป็นวัคซีนเทพ
วัคซีนเทพนั้นไม่ใช่ Pfizer วัคซีนเทพนั้นไม่ใช่ Moderna วัคซีนเทพนั้นไม่ใช่ Sputnik-V วัคซีนเทพนั้นไม่ใช่ Sinopharm วัคซีนเทพนั้นไม่ใช่ Sinovac วัคซีนเทพนั้นไม่ใช่ AstraZeneca อันที่จริงแล้วไม่มีวัคซีนตัวใดเป็นวัคซีนเทพที่จะได้ผลในการกันติดหรือกันตายได้ 100%
เหตุการณ์วันฉลองพรรคคอมมิวนิสต์จีนครบ 100 ปีที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการและทุกคนถอดหน้ากากได้นั้น สะท้อนให้เห็นว่าแท้จริงแล้ววัคซีนเทพของโลกนี้คือ หนึ่ง ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ของสาธารณรัฐประชาชนจีนที่มีการควบคุมโรคตามหลักวิชาอย่างเช่นนวดเร่งครัด สอง พลเมืองจีนที่มีคุณภาพอยู่ในระเบียบวินัยไม่ฝ่าฝืน สาม ประชาธิปไตยรวมศูนย์แบบจีนมีหัวหน้ามวลชนพรรคกระจายตามหมู่บ้านในลักษณะคล้ายอสม.ของเรา อาม่าแก่ๆที่ติดดาวแดงที่แขนเรียกว่าอ้าอี๋ นั้นหากมีใครแปลกหน้าเข้าไปในชุมชนจะต้องถามหา certificate of vaccination ในทันที ทำหน้าที่ราวกับตำรวจสาธารณสุขอย่างเข้มแข็ง ไม่ให้มีการออกนอกบ้านโดยไม่จำเป็นหรือมีคนแปลกหน้าเข้ามาในชุมชนโดยไม่แน่ใจว่าจะเป็นพาหะนำโรค COVID -19 หรือไม่ สามปัจจัยนี้ต่างหากคือวัคซีนเทพที่ป้องกัน COVID-19 อย่างได้ผล
ภาวะกรุงแตกเช่นนี้ทำนายว่าอีกไม่นานจะมีคนตายเป็นเบือในกรุงเทพฯ
การ lock down อย่างเคร่งครัดนั้นจำเป็นอย่างยิ่ง
แม้กระทั่งเคอร์ฟิวก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง
แต่เนื่องจากทำอะไรตามใจคือไทยแท้นั้นเป็นภาวะที่ยากลำบากที่จะบังคับให้ทุกคนทำตามกฎหมายที่ต้องการให้ทุกคนมีวินัยเพื่อความอยู่รอดของส่วนรวมและหยุดยั้งการระบาดของโรคโควิด-19 ได้ผล
มีความจำเป็นเหลือเกินที่จะต้องประกาศใช้กฎอัยการศึกและให้ทหารเข้าควบคุมสถานการณ์ดังเช่นที่ได้กระทำมาแล้วกับแคมป์ก่อสร้าง แต่ในครั้งนี้ต้องควบคุมให้ประชาชนอยู่ในเคหสถานไม่ออกนอกบ้านและทำงานจากที่บ้านหรือ work from home อย่างเคร่งครัดให้สำเร็จให้ได้
ประกาศกฎอัยการศึก รัฐประหารโควิดเสียเถิดจะเกิดผล อย่าชักช้าลังเลจนเกินไปจนเกิดการสูญเสียชีวิตมนุษย์เป็นจำนวนมากมาย
การบริหารประเทศนั้นไม่มีทางทำให้ทุกคนพอใจได้ แต่การรักษาชีวิตไว้ได้นั้นย่อมมีความสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ความเด็ดขาดในการใช้อำนาจเพื่อนำพาประเทศในภาวะวิกฤตสู่ความอยู่รอดได้นั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นและต้องได้รับการสนับสนุนเพื่อให้เราทุกคนและส่วนรวมรอดพ้นภาวะมหาสงครามโรคระบาดอันแสนวิกฤติในครั้งนี้ได้สำเร็จให้จงได้