วันนี้ ( 31 ม.ค.64) พญ.พรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ( โควิด-19 ) เผยว่าภาพรวมการติดเชื้อในประเทศมีแนวโน้มลดลง โดยจังหวัดที่ยังพบผู้ติดเชื้อเพิ่มมีเพียง 12 จังหวัด โดยกรุงเทพฯ พบมีผู้ติดเชื้อใหม่ 7 คน กลุ่มแรกเป็นการติดเชื้อภายในประเทศจากการไปพื้นที่เสี่ยง มีอาชีพเสี่ยง หรือสัมผัสกับผู้ติดเชื้อก่อนหน้านี้ 6 คน ประกอบด้วย เป็นเพศชาย 3 คน อายุ 2 เดือน – 34 ปี และเพศหญิง 3 คน อายุ 30-59 ปี สัญชาติไทย 2 คน และเมียนมา 4 คน และพบจากการคัดกรองเชิงรุกอีก 1 คน เป็นเพศหญิง อายุ 25 ปี สัญชาติเมียนมา ทำให้ กทม. มีผู้ติดเชื้อสะสมในการระบาดระลอกใหม่ จำนวน 756 คน
ขณะเดียวกันผลวิจัยด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ประเมินการใส่หน้ากากอนามัย (AI Mask) นำร่องในกรุงเทพฯ ตรวจจับหน้ากากจากกล้องวงจรปิด 16 จุด ใน กทม. ระหว่างวันที่ 21-27 ม.ค.64 พบว่าเขตดอนเมือง ประชาชนสวมหน้ากากน้อยกว่า 90% ขณะที่เขตบางกะปิ พบประชาชนสวมหน้ากากไม่ถูกต้อง 1.42%
นอกจากนี้ AI ยังวิเคราะห์พฤติกรรมการใส่หน้ากากไม่ถูกต้องด้วยว่า ในช่วงเช้า ประชาชนใส่หน้ากากไม่ถูกต้อง 2.95% ในช่วงเย็นเพิ่มขึ้นเป็น 3% และในวันเสาร์ อาทิตย์ พบการใส่หน้ากากไม่ถูกต้องเพิ่มขึ้น และการใส่หน้ากากลดลง จึงย้ำเตือนว่าการออกมาท่องเที่ยวพักผ่อนในวันหยุดต้องใส่หน้ากากให้ถูกต้อง
พญ.พรรณประภา เผยด้วยว่า ศบค.ยังได้ติดตามมาตรการเปิดเรียนในวันที่ 1 ก.พ.64 โดยสำนักวิจัยซูเปอร์โพลล์ ได้สำรวจในหัวข้อ “เรียนแบบไหน ห่างไกลโควิด-19” ในสมุทรสาครและกรุงเทพฯ โดยชาว กทม.เห็นว่าความเสี่ยงจะลดลงหากเรียนออนไลน์และเรียนแบบผสมผสาน ให้ปลอดภัย และมีข้อเสนอให้ กทม.ควรเคร่งครัดมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรควิด-19 สูงสุดเอาไว้ก่อน และแนะนำให้เรียนออนไลน์จากที่บ้านหรือสถานที่ที่เหมาะสม ซึ่งจะปลอดภัยกว่าการเรียนในสถานศึกษา และจัดการเรียนแบบผสมผสาน ที่บ้านและสถานศึกษา ส่วนแนวทางที่น่าจะดีที่สุด คือให้แต่ละสถาบัน หรือเขตการศึกษา เปิดให้ผู้ปกครองได้ร่วมตัดสินใจเพื่อกำหนดรูปแบบให้เหมาะสมกับการระบาดในแต่ละพื้นที่