ศาลปกครองจี้ กทม. ส่งข้อมูลสายสีเขียวเพิ่ม “ภูมิใจไทย” กัดไม่ปล่อยเลื่อนค่าตั๋ว 104 บาท แค่ซื้อเวลา
ยังไม่จบ ศาลปกครองสั่ง กทม. ส่งรายงานการประชุมสภา กทม. เพิ่ม หลังออกประกาศเลื่อนเก็บค่าตั๋ว 104 บาท ด้าน”ภูมิใจไทย”แขวะแค่ประวิงเวลา ไม่ได้อยากช่วยประชาชนจริงๆ กังขาไม่นำรายได้เชิงพาณิชย์มาโปะ
เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ศาลปกครอง ถ.แจ้งวัฒนะ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ส.ส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย พร้อมคณะเดินทางมารับการไต่สวนรอบเพิ่มเติมกรณีที่ได้ยื่นฟ้องศาลปกครองกลาง เพื่อให้มีคำสั่งเพิกถอน ประกาศของกรุงเทพมหานคร (กทม.) เรื่อง กำหนดค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ลงวันที่ 15 ม.ค. 2564 ที่กำหนดอัตราค่าโดยสารใหม่เริ่มต้น 15-104 บาท และ ให้ระงับการดำเนินการใดๆตามประกาศฉบับดังกล่าว
ศาลถาม กทม. เพิ่ม 3 ข้อ
โดยนายสิริพงษ์ กล่าวภายหลังเข้ารับการไต่สวนว่า ศาลยังไม่มีข้อสรุปใดๆเกี่ยวกับคดีนี้ สำหรับการไต่สวนครั้งนี้เกิดจากการที่ กทม.ออกประกาศ เรื่องการกำหนดค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เมื่อค่ำวันที่ 8 ก.พ. 2564 โดยตัวแทนของฝ่ายกทม.ที่มา เป็นผู้ได้รับมอบอำนาจจากผู้บริหารอีกทีหนึ่ง ซึ่งศาลมีประเด็นสอบถามกทม.เพิ่มเติมใน 3 ประเด็น
1. เหตุใดจึงเลื่อนเก็บค่าโดยสารอัตราใหม่ ทางกทม. ชี้แจงว่า การเลื่อนเก็บค่าโดยสารดังกล่าวเป็นความเห็นจากคณะรัฐมนตรี (ครม.)และเป็นนโยบายของกทม.อยู่แล้วที่ต้องการลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน แต่การชี้แจงไม่มีการชี้แจงที่เป็นลายลักษณ์อักษร
2. การเลื่อนเก็บค่าโดยสารออกไป กทม.จะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป กทม.ชี้แจงว่า ได้นำประเด็นนี้หารือในที่ประชุมสภากรุงเทพมหานคร (กทม.) เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2564 ศาลจึงขอรายงานการประชุมสภากทม. แต่ยังไม่มีความชัดเจน เพราะกทม.อ้างว่า ยังตอบไม่ได้ว่าจะส่งเอกสารได้เมื่อไหร่
และ 3 ศาลถามว่า การไม่ขึ้นค่าโดยสารดังกล่าว จะมีผลกระทบกับกทม. อย่างไร เพราะก่อนหน้านี้อ้างว่า หากไม่เก็บค่าโดยสารจะมีผลกระทบ กทม.ตอบเพียงว่า มีผลกระทบอยู่ แต่สามารถชะลอได้ เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับประชาขน
ภูมิใจไทยกังขาไม่เอารายได้พาณิชย์ข่วย
“ฝ่ายเราก็ชี้แจงว่า กทม. ยังไม่ทำตามกระบวนการให้ครบถ้วน เช่น การหารายได้เชิงพาณิชย์และโฆษณาตามสถานีต่างๆ กทม.ไม่เคยจัดเก็บรายได้ เพื่อเอามาสนับสนุนการลดภาระด้านค่าโดยสารให้กับประชาชน แม้กทม.จะชี้แจงว่ายังเก็บรายได้จากส่วนนี้ไม่ได้ ก็แสดงว่า กทม. ยังไม่รอบคอบรัดกุมในการดำเนินการเลย “
นายสิริพงษ์กล่าวอีกว่า การที่อ้างว่า หากรถวิ่งออกจากส่วนไข่แดง (หมอชิต-อ่อนนุช/สนามกีฬาฯ-ตากสิน) เข้าสู่ส่วนต่อขยาย กทม.ไม่มีรายได้ เอกชนได้อยู่อย่างเดียว ดังนั้น การที่กทม. วิ่งรถไฟฟ้ายาว 40-50 กม. แล้วไม่ได้อะไรเลยจึงเป็นไปไม่ได้ เพราะทรัพย์สิน กทม.รับจากรฟม.แล้ว
กทม.ยังแจงที่มาค่าโดยสารไม่ได้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ที่กทม.ไม่เก็บรายได้เชิงพาณิชย์ เพราะผูกอยู่ในสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่กำลังอยู่ระหว่างเสนอ ครม. หรือไม่ นายสิริพงศ์ ตอบว่า กทม.บอกในเรื่องของสัมปทานจริง แต่การเดินรถ ทรัพย์สินส่วนต่อขยายต่างๆก็รับโอนมาจากรฟม.แล้ว และในการเจรจาก็ไม่ใช่ว่า กทม. จะคุยกับเอกชนไม่ได้ อาจจะเสนอขายทั้งก้อนก็ได้ ก็อยู่ที่วิธีเจรจากับเอกชน ซึ่ง กทม. ไม่เคยคิดเรื่องการลดภาระให้ประชาชนเลย
“กทม. ยังตอบไม่ได้ว่าค่าโดยสารที่จะจัดเก็บมีที่มาที่ไปอย่างไร จนเราตั้งข้อสังเกตว่า การเลื่อนเก็บค่าโดยสารดังกล่าว เพียงแค่ต้องการประวิงเวลาหรือไม่ “
ขอรายงานประชุมสภาหทม. – แนบท้ายสัญญา
โดยหลังจากไต่สวนคู่ความทั้ง 2 แล้ว ศาลได้สั่งให้ กทม. ส่งหลักฐานเพิ่มเติมคือ รายงานการประชุมสภากทม.เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2564 ซึ่งในการไต่สวน กทม. จะขอส่งเฉพาะรายงานการประชุมแบบสรุป เราจึงคัดค้านไปว่า รายงานแบบสรุปไม่พอ ขอเป็นรายงานที่มีการรับรอง ซึ่ง กทม.บอกว่า ถ้าจะเอาแบบมีการรับรองอาจจะใช้เวลาเป็นปี ศาลจึงถามต่อทำไมใช้เวลาเป็นปี ตอนนี้ กทม.ก็กำลังหาคำตอบอยู่
นอกจากนี้ เราเองก็ขอให้กทม.ส่งเอกสารแนบท้ายสัญญาจ้างเดินรถส่วนต่อขยายช่วงหมอชิต – คูคต และช่วงแบริ่ง – เคหะสมุทรปราการที่ บจ.กรุงเทพธนาคม (เคที) จ้าง บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) ด้วย เพราะสัญญาหลักที่ให้มา ไม่มีรายละเอียดของการคิดค่าโดยสาร
ส่วนเอกสารที่ฝ่ายเราขอไป 11 ข้อ เช่น ผลการศึกษาโครงการและแนวทางกำหนดอัตราค่าโดยสาร, การประมาณปริมาณผู้โดยสาร การคำนวณอัตราผู้โดยสาร การใช้ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และเกณฑ์การปรับค่าโดยสาร หรือรายงานการศึกษาด้านรายได้ค่าโดยสารและการพัฒนาเชิงพาณิชย์ เป็นต้น ศาลเพิ่งมีหมายออกไปให้ กทม. ส่งข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งหากได้รับเอกสารเพิ่มเติมแล้ว ก็จะได้เอาข้อมูลมาเปรียบเทียบกับรถไฟฟ้าสายอื่นด้วย
“เรามองว่าการออกประกาศดังกล่าว เป็นแค่การเลื่อน ไม่ได้ยกเลิกประกาศฉบับเดิมที่เก็บค่าโดยสาร 104 บาท แต่อัตราค่าจ้างที่มีต่อ BTSC ถ้าเกิดไม่ชอบขึ้นมา ส่วนต่างจะไปตกกับประชาชน ซึ่งมีแต่ผลเสียมากกว่า” นายสิริพงศ์กล่าวทิ้งท้าย