โจทย์ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องแก้ไขเกี่ยวกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ในตอนนี้คือ กรุงเทพมหานครเป็นหนี้ค่าจ้างเดินรถบีทีเอส หลายหมื่นล้านบาท ขณะที่ส่วนต่อขยายที่สร้างเสร็จ 2 สายคือ แบริ่ง-สมุทรปราการ และหมอชิต-คูคต เปิดวิ่งฟรีมา 3 ปี เก็บค่าโดยสารไม่ได้สักบาท
ปัญหา 2 ข้อนี้รู้กันมาตั้งแต่การรณรงค์เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.และสมาชิกสภา กทม. ครั้งที่ผ่านมา ผู้สมัครแทบทุกคน รวมทั้งพรรคหรือกลุ่มการเมืองที่ลงสมัครต่างหาเสียงว่ามีวิธีที่จะแก้ปัญหา
ทว่า…เมื่อฝ่ายบริหาร กทม.นำเรื่องนี้เข้า ที่ประชุมสภากรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 26 ต.ค.65 โดยเสนอให้เก็บค่าโดยสารส่วนต่อขยายแต่ละเส้นทางในอัตรา 15 บาทตลอดสาย ส่วนการบริหารจัดการส่วนต่อขยายให้ดำเนินการตาม พ.ร.บ.ร่วมทุน โดยเสนอขอให้รัฐจัดงบสนับสนุนค่าก่อสร้าง เช่นเดียวกับระบบขนส่งมวลชนโครงการอื่น
ปรากฏว่า สภา กทม.กลับไม่ตอบรับ ไม่พิจารณา ไม่แม้แต่มีการอภิปรายเพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นตามที่ผู้ว่าฯ กทม.เสนอ โดยที่ประชุมโหวตให้ กทม.ถอนญัตติออกไป
ผู้ว่าฯ กทม. ที่ไม่มี ส.ก. ในสังกัดสักเสียงเดียวในสภา เลยต้องถอนเรื่องราวที่สำคัญที่สุดของ กทม. ตอนนี้ออกจากการประชุมไป…ท่าทีของสภา กทม.แบบนี้ ทำให้ผู้ว่าฯ กทม.กำลังถูกโดดเดี่ยวในการ แก้ปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียว
วันเดียวกัน สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) พร้อมด้วยเครือข่ายผู้บริโภค กทม. และตัวแทนมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มายื่นหนังสือข้อเสนอต่อสภากรุงเทพมหานคร (สภา กทม.) ต่อการแก้ปัญหาสัมปทานและการกำหนดค่าบริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวดังนี้
1.ขอให้สภากรุงเทพมหานครกำหนดค่าบริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย 1 และ 2 ที่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคในราคา 15 บาทตลอดสายเมื่อรวมเส้นทางหลักจะเก็บค่าบริการสูงสุดไม่เกิน 44 บาท 2.ขอให้ ส.ก.สนับสนุนแนวทางการเจรจาพักชำระหนี้กับกระทรวงการคลัง หรือคืนภาระหนี้ค่าก่อสร้างและกรรมสิทธิ์รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย 2 จำนวน 69,105 ล้านบาท ให้กับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือกระทรวงคมนาคม
3.ขอให้ สภา กทม.สนับสนุนแนวทางการออกซีเคียวริไทเซชัน (Securitization) ซึ่งเป็นกระบวนการแปลงสินทรัพย์ให้เป็นหลักทรัพย์ โดยการระดมทุนจากรายได้ในอนาคตมาใช้หนี้ค้างจ่ายเนื่องจากหากหมดสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงเส้นทางสัมปทานหลักที่จะหมดสัญญาสัมปทานในปี 2572 จะมีผลให้กรุงเทพมหานครสามารถบริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวจำนวน 59 สถานีได้ซึ่ง กทม.สามารถนำรายได้ดังกล่าวเพื่อชำระหนี้ค้างจ่ายได้ และ 4.ขอให้สภา กทม.ตั้งคณะทำงานโดยมีสภาองค์กรผู้บริโภคและตัวแทนของผู้บริโภคเข้าร่วมเป็นคณะทำงาน
งานนี้ สภากรุงเทพมหานครจะมีท่าทีต่อภาคประชาชนอย่างไร ต้องติดตามกันต่อไป.