ส.ก.พญาไท ขู่วอล์กเอาต์ โต้ ‘ไม่ใช่อำนาจผู้ว่าฯ’ – สภากทม. ถอนญัตติชัชชาติ ‘สายสีเขียว’ อ้างเอกสารไม่ครบ
เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ที่ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ดินแดง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยที่สี่ (ครั้งที่ 4) ประจำปีพุทธศักราช 2565 โดยมี นายวิรัตน์ มีนชัยนันท์ ส.ก.เขตมีนบุรี พรรคเพื่อไทย นั่งเป็นประธานสภา กทม. พร้อมด้วยฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร มีผู้เข้าร่วมได้แก่ ส.ก.ทั้ง 50 เขต คณะผู้บริหารกรุงเทพมหานครทั้งคณะ ทีมคณะที่ปรึกษา ผู้ว่าฯกทม. คณะเลขานุการผู้ว่าฯกทม.
อ่านข่าว : ส.ก.บึงกุ่ม จี้ถามสด คืบไหม ‘โครงการชุมชนเข้มแข็ง’? ศานนท์ จะแก้ให้ใหม่ ปชช.ร่วมคิดแผนจัดซื้อเอง
‘ชัชชาติ’ ขอทำตามขั้นตอน ปชต. เลี่ยงซ้ำรอย ‘คสช.รวบสัมปทาน’ ส่วนต่อขยาย1 – เตรียมแทงเรื่องให้ ครม.เคาะ
‘ชัชชาติ’ ลุกขอความเห็น สภา กทม. เก็บค่าโดยสาร ‘สายสีเขียว’ ส่วนต่อขยายที่ 2 – ส.ก.รอเคลียร์ประเด็นค้าง
โดยวันนี้มีประเด็นสำคัญคือ นายชัชชาติ จะเสนอญัตติขอรับความเห็นจากสภากรุงเทพมหานคร เรื่อง 1.แนวทางการเก็บค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต และช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการ และ 2. ญัตติขอรับความเห็นจากสภากรุงเทพมหานคร เรื่อง การดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงต้นเมื่อเปิดการประชุม นายวิรัตน์ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ตนได้รับหนังสือด่วนที่สุด เมื่อวานนี้ จากทางสำนักงานเลขานุการสภาฯ ส่งจากผู้ว่าฯ กทม. เรื่อง ขอรับฟังความเห็นการดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว พร้อมแนบ หนังสือจากกระทรวงมหาดไทย (มท.) ด่วนที่สุด ลงวันที่ 13 มิถุนายน 2565
“เอกสารฉบับนี้ ผมขอนำเรื่องนี้หารือที่ประชุม หลังจากวันนี้ที่ปิดประชุมแล้ว ขอเพื่อนสมาชิกยังอยู่หลังปิดประชุมสภา เพราะหนังสือฉบับนี้ในเนื้อหาสาระ ด่วนที่สุด ลงวันที่ 13 มิถุนายน 2565 แต่ทางสภาฯ ได้รับมาเมื่อวานนี้ จึงขอหารือเป็นการด่วน เพื่อไม่ให้เสียเวลาในการออกความเห็นเรื่องโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ในส่วนของ สภา กทม.” นายวิรัตน์กล่าว
จากนั้น นายวิรัตน์กล่าวต่อว่า เรื่องต่อไป ตนขออธิบายทำความเข้าใจเกี่ยวกับการบรรจุญัตติเข้าสู่สภา กทม. ในวาระต่างๆ
“มีญัตติต่างๆ เข้าสู่สภา ส่วนหนึ่งมาจากฝ่ายบริหาร ส่วนหนึ่งจากเพื่อสมาชิก ส.ก.โดยในส่วนของฝ่ายบริหาร ตามข้อ 38 วรรค 2 แห่งข้อบังคับการประชุมสภา ปี 2562 ให้ประธานสภาบรรจุญัตติที่เสนอ เข้าระเบียบวาระการประชุมสภา ภายในกำหนดเวลาอันสมควรในสมัยการประชุมนั้น และข้อ 91 เมื่อมีญัตติที่ต้องให้คณะกรรมการพิจารณา ให้ส่งญัตติไปยังคณะกรรมการที่มีหน้าที่ตรงกับญัตตินั้น” นายวิรัตน์กล่าว และว่า
ซึ่งตนได้ปฏิบัติตามข้อบังคับทั้งหมด แต่บางญัตติเอกสารไม่ครบถ้วน จึงต้องขอเอกสารเพิ่มเติมทำให้เสียเวลาต่อการบรรจุญัตติ เนื่องจากก่อนที่จะมีการประชุมวาระต่างๆ โดยเฉพาะญัตติที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมาย ต้องมีเอกสารประกอบอย่างชัดเจน เพื่อเป็นประโยชน์ในการพิจารณาญัตตินั้นๆ
“หลายครั้ง ต้องประสานงานกับหน่วยงานภายนอก เพราะญัตติที่ยื่นเข้ามาอาจจะไม่ได้เกี่ยวพันกับ กทม.ก็ต้องใช้เวลา ผมได้ใช้ข้อบังคับ 91 เพื่อไม่ให้ญัตติที่ส่งเข้ามาไม่ได้รับการพิจารณาเบื้องต้นก่อน จึงส่งให้คณะกรรมการสามัญสภา ซึ่งมีอยู่ 12 คณะ ได้ช่วยกันพิจารณาเบื้องต้นเหมือนกับการประชุมที่ผ่านมาทุกครั้ง ถึงแม้ว่าเอกสารที่ส่งมานั้นยังไม่ครบถ้วน ก็พิจารณาไปพลางก่อน เพื่อไม่เสียเวลา เช่นกันกับในส่วนของญัตติที่จะบรรจุในวันนี้ หลายญัตติยื่นสู่สภามานาน แต่เนื่องจากคณะกรรมการสามัญ ได้พิจาณาเบื้องต้นแล้วมีเอกสารที่ขาด มีการประสานกันภายใน จึงทำให้เกิดความล่าช้า จึงอยากเรียนให้สมาชิกและฝ่ายบริหารได้รับทราบถึงระเบียบการบรรจุวาระเข้าสู่ที่ประชุม” นายวิรัตน์กล่าว
จากนั้น นายไสว โชติกะสุภา ส.ก.เขตราษฎร์บูรณะ พรรคไทยสร้างไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการวิสามัญจราจรและขนส่ง ได้เสนอที่ประชุม ให้รวมทั้งสองญัตติเข้าด้วยกันเนื่องจากเป็นเรื่องทำนองเดียวกัน หรือเกี่ยวเนื่องกัน โดยที่ประชุมสภา กทม.มีมติให้รวมทั้งสองญัตติเข้าด้วยกันคือ ระเบียบวาระที่ 6.1 ญัตติขอความเห็นจากสภากรุงเทพมหานครเรื่องแนวทางการเก็บค่าโดยสารและโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต สะพานใหม่ คูคต และ ช่วงแบริ่ง สมุทรปราการ และ 6.2 ญัตติขอความเห็นจากสภากรุงเทพมหานคร เรื่องการดำเนินการดำเนินการรถไฟฟ้าสายสีเขียว จึงขอเสนอให้ที่ประชุมสภากรุงเทพมหานครรวมระเบียบวาระที่ 6.1 และ 6.2 เพื่อพิจารณาพร้อมกัน
ขณะที่ ส.ก.ต่างลุกขึ้นร่วมกันอภิปรายถึงประเด็นดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับญัตติดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าไม่ได้อยู่ในอำนาจของ สภา กทม.
นายวิรัช คงคาเขตร ส.ก.เขตบางกอกใหญ่ พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นขอหารือประธานสภา กทม. ความว่า ญัตติดังกล่าวยังไม่สมควรที่จะเข้ามาสู่สภาในวันนี้ มีการเรียกพวกของตน 50 คน ไปหารือในประเด็น 2 ญัตติที่จะรวมกันนี้ มีช่วงหนึ่งที่ประชุมมีข้อสรุปให้คณะกรรมการวิสามัญจราจรและขนส่ง ไปหารายละเอียดในบางประเด็น เมื่อหารือแล้วก็ให้นำเสนอต่อที่ประชุมสภา หรือ วิป
“แต่ผมเห็นว่า ญัตตินี้ยังไม่สมควรจะเข้ามาสู่สภาในวันนี้ ท่านจะต้องฟังความเห็น คณะกรรมการวิสามัญจราจรและขนส่ง ว่ามีความเห็นอย่างไรในประเด็นที่ถกกัน 50 คนในวันนั้น ถ้าคณะกรรมการมีความเห็นไปทางใดทางหนึ่ง ท่านถึงควรนำญัตตินี้เข้าบรรจุเป็นวาระการประชุม ถ้าเกิดว่าคณะกรรมการมีความเห็นว่าไม่สมควร ไม่เหมาะสม หรือมีเหตุผลว่า ไม่สมควรจะรับ หรือรับไม่ได้ ก็แจ้งประธาน แล้วไม่ต้องบรรจุเข้ามาในวาระการประชุม ถ้าอย่างนั้นที่คุยกัน 50 คนก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร อันนี้ผมขอหารือ” นายวิรัชกล่าว
นายพีรพล กนกวลัย ส.ก.เขตพญาไท พรรคก้าวไกล กล่าวว่า สิ่งที่เรากำลังจะพิจารณาอยู่ ญัตติทั้ง 2 อย่างของฝ่ายบริหาร เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมาย จึงอยากให้ท่านประธานดูข้อกฎหมายในคำสั่ง คสช. ที่ 3/2562 ลงเมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2562 ซึ่งเกิดคำสั่งหลังการเลือกตั้งด้วยซ้ำไป ซึ่งข้อ 2 ระบุว่า
“ให้ กทม.ดำเนินการจ้างผู้ประกอบการเอกชน เพื่อติดตั้งระบบรถไฟฟ้า และบริหารจัดการเดินรถส่วนต่อขยายที่ 2 ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อแก้ปัญหาการจราจรและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยคำนึงถึงการให้ประชาชนได้ใช้บริการรถไฟฟ้าโดยเร็ว สะดวก และประหยัดค่าโดยสาร รวมทั้งเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการเดินรถ เชื่อมต่อระบบรถไฟฟ้ากับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว และโครงการส่วนต่อขยายที่ 1”
“ท่านประธาน ยังไม่ทันมีงบประมาณ สั่งให้ กทม.ทำแล้วส่วนต่อขยายที่ 1 เป็นของ กทม.อยู่แล้ว แต่สั่งให้ กทม.รวมส่วนต่อขยายที่ 2 เข้ามาด้วย” นายพีรพลกล่าว ก่อนเปิดภาพ ข้อ 3 ของคำสัง คสช.ดังกล่าว ซึ่งระบุว่า
“เพื่อให้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว โครงการส่วนต่อขยายที่ 1 และโครงการส่วนต่อขยายที่ 2 สามารถเดินรถแบบต่อเนื่องเป็นโครงข่ายเดียวกัน (Through Operation) รวมทั้งอัตราค่าโดยสารเป็นไปอย่างเหมาะสม ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน ปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อัยการสูงสุด ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินและด้านระบบรถไฟฟ้า ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งด้านละ 1 คน เป็นกรรมการ และปลัดกรุงเทพมหานคร เป็นกรรมการและเลขานุการ” นายพีรพลกล่าว
นายพีรพลกล่าวต่อว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้แต่งตั้งตามคำสั่งนี้เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ.2562 ซึ่งมีคณะกรรมชุดนี้แล้วในการทำหน้าที่ตามคำสั่งนี้
“ในข้อ 3 ของคำสั่งนี้ แสดงให้เห็นว่าคณะกรรมการชุดนี้เป็นผู้กำหนดราคา ไม่ใช่ กทม. เป็นผู้กำหนดราคา ไม่ว่าจะส่วนต่อขยายที่ ‘กรุงเทพ ธนาคม’ ไปทำสัญญาโดยไม่ได้รับมอบอำนาจจาก กทม. ซึ่งก็ผิดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เราไม่มีหน้าที่ในการกำหนดราคา และไม่มีหน้าที่จัดการเดินรถแล้ว เพราะว่าเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้ ฉะนั้นสิ่งที่เรากำลังจะพิจารณาญัตติทั้ง 2 ญัตติ ไม่ใช่หน้าที่ของสภากรุงเทพมหานคร ไม่ใช่หน้าที่ของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอีกต่อไป คำสั่งนี้เป็นคำสั่ง คสช. เทียบเท่าพระราชบัญญัติ ใหญ่กว่าข้อบัญญัติที่มีอยู่ใน พ.ศ.2553 ข้อที่ 3 (1)
‘กรุงเทพมหานครอาจให้บริการแก่เอกชน ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสากิจ และราชการส่วนท้องถิ่น ในเรื่องระบบขนส่งมวลชนของกรุงเทพมหานคร ดังต่อไปนี้ (1) การบริการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร ในส่วนที่กรุงเทพมหานครรับผิดชอบดำเนินการเดินรถ’ ท่านมีอำนาจกำหนดค่าโดยสารตามข้อบัญญัตินี้ก็จริง แต่คำสั่ง คสช. ตัดอำนาจส่วนนี้ไปแล้ว เพราะว่าข้อบัญญัตินี้มันเล็กกว่าคำสั่ง คสช.” นายพีรพลชี้
นายพีรพลกล่าวต่อว่า ตนจึงคิดว่า สิ่งที่นำเสนอมาในญัตติทั้ง 2 ญัตติ ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของ กทม.
“ที่ท่านนำเสนอมา ญัตติของท่านทั้ง 2 นี้ ข้อความในญัตติ ‘ขอรับความเห็นจากสภา กทม.’ คำว่า ‘ขอรับความเห็น’ คือ เห็นด้วย กับไม่เห็นด้วย ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ถ้าเห็นด้วยท่านก็ปฏิบัติไม่ได้ เพราะไม่ใช่อำนาจหน้าที่ท่าน ถ้าไม่เห็นด้วยแล้วท่านจะทำอย่างไร ไม่มีทางออกเลย ผมเชื่อว่าเรื่องนี้มันเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ เราจะต้องดำเนินการให้รอบคอบ ต้องมีการหาทางออกที่ไม่ได้หารือเฉกเช่นนี้ ที่ว่า ทั้ง 2 ญัตติ ขอรับความเห็นจากสภา” นายพีรพลกล่าว และว่า
ถ้ายังดำเนินการต่อ ตนเชื่อว่า จะเป็นการดำเนินการที่ไม่น่าจะถูกต้องตามกฎหมาย
“หากญัตตินี้ยังดำเนินการต่อไปผมก็อาจจะไม่ร่วมประชุมในการพิจารณาญัตตินี้” นายพีรพลกล่าว
โดย นายวิรัตน์ระบุว่า ประชาชนสับสนในประเด็นดังกล่าว ตนจึงนำเข้า สภา กทม. เพื่อถ่ายทอดให้ประชาชนรับทราบ โดยได้เสนอถอนญัตติซ้อนญัตติดังกล่าวออกไป ทั้งนี้ ส.ก.ร่วมยกมือเห็นด้วยที่จะถอนญัตติดังกล่าวออกจากที่ประชุมสภา กทม.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ สภา กทม. ปิดการประชุมไปเมื่อเวลา 13.10 น. หลังจากถอนญัตติดังกล่าว