“เพนกวิน-รุ้ง-ไมค์-โตโต้” เข้าแจง กมธ.ป.ป.ช. ปมเคลื่อนย้ายผู้ต้องหายามวิกาล ด้าน “เพนกวิน” เผยอยากให้กมธ.เข้าสอบปมดักฟังคุยกับทนายจริงหรือไม่ ขณะที่ “ธีรัจชัย” ฝากรมว.ยธ.ตรวจสอบ ลั่นหากไม่คืบหน้าจะลุยเอง
เมื่อเวลา 11.45 น. วันที่ 16 มิถุนายน ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) ที่มีพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทยเป็นประธานกมธ.ได้มีการเชิญ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง แกนนำราษฎร และนายปิยรัฐ จงเทพ หรือโตโต้ วีโว่ เข้าชี้แจงกรณีการเคลื่อนย้ายผู้ต้องหาทางการเมือง 7 คนจากเรือนจำธนบุรีสู่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยมีเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจหาโควิด-19 จำนวน 4 ครั้ง โดยนายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะโฆษก กมธ. ได้ให้ทั้ง 4 คนเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้กมธ.ฟัง
โดยนายภาณุพงศ์ กล่าวว่า หลังจากอัยการมีคำสั่งฟ้องและศาลมีคำสั่งฝากขังในวันที่ 8 มีนาคมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หลังจากนั้นเรายังไม่ได้ทำเรื่องประกันตัวเลย แต่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำตน น.ส.ปนัสยา และนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน ไปขึ้นรถเรือนจำ ตอนแรกเส้นทางมุ่งไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แต่หลังจากนั้นมีการนำน.ส.ปนัสยาไปแค่คนเดียวและนำตนกับนายจตุภัทรไปที่เรือนจำธนบุรี โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า เมื่อไปถึงเรือนจำธนบุรีมีการตรวจคัดกรองโควิด มีการสแกนอุณหภูมิและมีการทำประวัติ ซึ่งเจ้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้เข้าไปทำประวัติของพวกตนที่เรือนจำธนบุรี และมีการจัดพวกตนแยกห้องขังรวมกับผู้ต้องขังคนอื่น ซึ่งคนที่เข้าไปในเรือนจำธนบุรีวันนี้มี 3 คนคือตน นายจตุภัทร์ และนายปิยรัฐ หลังจากที่พวกตนเข้าไปอยู่ที่เรือนจำแล้ว มีการแจ้งว่าพรุ่งนี้เช้าจะมีการตรวจ swab test และมาตรวจจริงในเวลา 08.00 น.
ด้านนายปิยรัฐ กล่าวว่า ความจริงแล้วตนเข้าไปในวันเดียวกันกับนายภาณุพงศ์กับนายจตุภัทร์แต่คนละคดี ซึ่งศาลได้สั่งให้ไปขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แต่เจ้าหน้าที่ได้นำตนมาที่เรือนจำธนบุรีในเวลาประมาณ 20.00-21.00 น. โดยทางผบ.เรือนจำได้แจ้งว่าเจ้าหน้าที่การแพทย์กลับไปหมดแล้วและเป็นเวลากลางคืนแล้ว จึงบอกว่าจะตรวจคัดกรองโควิดในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น
ขณะที่นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนถูกคุมขังตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งคดีของตนเป็นคนละกรณีกับนายภาณุพงศ์ เนื่องจากไม่ได้ย้ายมาจากเรือนจำธนบุรี โดยในวันที่ 15 มีนาคม ซึ่งตนและเพื่อนคนอื่นทั้งที่อยู่เรือนจำธนบุรีและเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้ไปที่ศาลในคดีการชุมนุม วันที่ 19 กันยายนด้วยกัน เมื่อกลับมาถึงเรือนจำเดิมทีเจ้าหน้าที่แจ้งว่าให้ใช้กระบวนการกักตัวตามปกติ ซึ่งวิธีการกักตัวของเรือนจำ คือคนที่เข้ามาใหม่หรือออกไปข้างนอกมาให้นอนอยู่ห้องเดียวกัน ซึ่งตนเคยถูกคุมขังหลายที่ไม่เคยมีที่ไหนที่จะมาเร่งรัดการตรวจโควิด-19 ในตอนกลางคืน เวลา 21.00 น. ได้ส่งเจ้าหน้าที่จำนวนมากมาบอกว่าจะมีการตรวจโควิด-19 นอกจากนี้ยังมีการไล่นักโทษคนอื่นๆ ออกไปด้วย ซึ่งเราก็ได้ถามตรงๆ ว่าอยากจับเราแยกใช่หรือไม่ เขาก็ตอบตรงๆ ว่าใช่ ซึ่งเราก็ปฏิเสธกระบวนการนี้ตลอด หากจะบอกว่าเร่งรีบก็ต้องตรวจตั้งแต่หน้าประตูแล้วไม่ใช่เวลานอน ถ้าในวันนั้นเจ้าหน้าที่พยายามนำตัวเราออกไปได้ มีใครรับประกันความปลอดภัยที่เกิดขึ้นยามวิกาลได้บ้าง
ด้านน.ส.ปนัสยา กล่าวว่า ในวันที่ 8 มีนาคมขณะที่อยู่ในห้องพิจารณาของศาลซึ่งมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เข้ามากระซิบว่าตน นายจตุภัทร์ นายภาณุพงศ์ ไม่ได้รับการประกันตัว ทั้งที่ตนและทนายยังไม่ได้รับแจ้งจากศาล และได้นำตัวพวกตนไปที่รถเลยในขณะที่ทนายกำลังทำเรื่องอยู่ ซึ่งระหว่างที่ขึ้นรถไปเรือนจำ เจ้าหน้าที่ยังเถียงกันอยู่ว่าจะนำผู้ชายไปที่ไหน รถของนายจตุภัทร์และนายภาณุพงศ์ได้นำหน้ารถของตนไปยังเส้นทางเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จริง แต่เมื่อถึงทางแยกก็ไม่ทราบแล้วว่าไปที่ไหน
ขณะที่มีการชี้แจง นายธีรัจชัยได้ถามว่า ขั้นตอนในการมาที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้มีการตรวจสอบเหมือนเรือนจำธนบุรีหรือไม่ นายภาณุพงศ์ กล่าวว่า มีการตรวจร่างกายหาสิ่งแปลกปลอม มีการวัดไข้และมีการทำประวัติ หลังจากนั้นก็เข้าเรือนจำไปที่แดน 2 โดยมีการวัดอุณหภูมิที่หน้าแดน ซึ่งในเรือนนอนมีนายพริษฐ์ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข นายอานนท์ นำภา นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือหมอลำแบงก์ และผู้ต้องขังคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ผู้ต้องหาทางการเมือง หลังจากเวลาประมาณ 21.30 น. มีเจ้าหน้าที่ที่เข้าเวรขึ้นมา 3 คน มาบอกว่าจะนำตัวตน นายจตุภัทร์และนายปิยรัฐแยกไปที่สถานพยาบาล เพราะมาจากพื้นที่เสี่ยงคือเรือนจำธนบุรี ซึ่งเราไม่ยินยอมที่จะไป
ด้านนายพริษฐ์ กล่าวว่า หลังจากเข้าเรือนจำและกักตัวประมาณ 1 เดือนก็ถูกจำแนกแดน ตนถูกจำแนกแดนไปที่แดน 5 นายสมยศไปอยู่ที่แดน 6 นายปติวัฒน์ ไปอยู่ที่แดน 8 ซึ่งกรณีของตนและนายสมยศเป็นแดนของนักโทษเด็ดขาด ตอนจะออกไปที่ศาล ตนได้เตรียมเอกสารเพื่อไปแถลงเปิดคดีต่อศาล ตอนแรกเรือนจำจะไม่อนุญาตให้ตนนำเอกสารออกจากเรือนจำ โดยในวันที่ 15 มีนาคมหลังกลับมาจากศาลแล้วก็มีการวัดอุณหภูมิ ทำประวัติเข้าออกตามปกติและเข้าไปในห้องกักตัวเหมือนเดิม ซึ่งได้รับแจ้งว่านายภาณุพงศ์ นายปิยรัฐและนายจตุภัทร์จะย้ายมาที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จนกระทั่งเวลา 21.00 น.ก็มีสัญญาณว่าเจ้าหน้าที่อยากแยกพวกตนออกไป
นอกจากนี้ นายธีรัจชัย ถามอีกว่า ทัณฑสถานหญิงกลางมีการเร่งรัดตรวจโควิด-19 กลางดึกหรือไม่ น.ส.ปนัสยา กล่าวว่า ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนั้น การตรวจโควิด-19 ตามปกติจะตรวจกลางวัน ซึ่งเมื่อถึงเวลาพักผ่อน เจ้าหน้าที่จะเดินตรวจตราตามปกติแต่จะไม่มายุ่งกับผู้ต้องขังและไม่เคยมีการมาแยกตัวจากผู้ต้องขังอื่นในยามวิกาล
นายธีรัจชัย ถามต่อว่า ข้อกฎหมายตามสิทธิมนุษยชนการที่ยังไม่ถูกศาลพิพากษาว่าเป็นผู้กระทำความผิดในฐานะผู้ต้องขังคดีการเมือง การให้ไปอยู่กับนักโทษเด็ดขาดเช่นกรณีของนายพริษฐ์และนายสมยศถือเป็นการปฏิบัติกับผู้ต้องหาเหมือนผู้กระทำความผิดได้หรือไม่ น.ส.ปนัสยา กล่าวว่า จะกระทำเช่นนั้นไม่ได้ ผู้ที่ยังไม่ถูกศาลตัดสินโทษ ถือว่ายังบริสุทธิ์อยู่ ฉะนั้นถือว่าผิดตั้งแต่นำพวกเราเข้าใาในเรือนจำแล้วและยังผิดอีกที่พานายพริษฐ์ นายสมยศ นายปติวัฒน์ไปอยู่ที่แดนเด็ดขาด ไม่ใช่แดนที่ผู้ต้องหาอยู่
นายธีรัจชัย ถามอีกว่า ตามหลักสิทธิมนุษยชนและรัฐธรรมนูญ ผู้ต้องหาสามารถต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ การที่ยังไม่ถูกตัดสินว่าผิดแต่ถูกนำไปขังเหมือนผู้ต้องขังคดีแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เรามีสิทธิที่จะได้รับการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่เหมือนผู้ที่ยังไม่ถูกตัดสินใช่หรือไม่ น.ส.ปนัสยา กล่าวว่า การต่อสู้คดีจากข้างในเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับทุกคนการคุยกับทนายผ่านห้องกระจกที่ใช้โทรศัพท์คุยกัน ถูกดักฟัง ตนสังเกตได้เลยว่าจะมีเสียงซ่าแทรกขึ้นตลอดและการคุยกับทนายบางครั้ง ผู้คุมรู้ได้อย่างไรก็ไม่ทราบเรื่องเอกสารที่เข้าออกเรือนจำก็ถูกตรวจสอบทุกครั้ง มีครั้งหนึ่งตนเขียนแถลงต่อศาลตั้งแต่ข้างในและนำออกไปข้างนอก เพื่อที่จะได้ไม่ต้องผ่านคนอื่น แต่เจ้าหน้าที่มีแถลงการณ์ฉบับคัดลอกได้อย่างไรก็ไม่ทราบ
ด้านนายพริษฐ์ กล่าวว่า เรื่องการตรวจสอบเอกสาร เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ คล้ายกับทัณฑสถานหญิงกลาง ตนจึงอากให้กมธ.เข้าไปตรวจสอบว่ามีการดักฟังจริงหรือไม่ เป็นมาตรฐานสากลหรือไม่
นายธีรัจชัย กล่าวว่า ตนขอฝากไปที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้ตรวจสอบเรื่องการปฏิบัติตนต่อผู้ต้องหาให้สามารถแยกควบคุมตัวได้หรือไม่และขอฝากไปที่กระบวนการยุติธรรมโดยรวมให้พิจารณาหลักกฎหมายในเรื่องนี้ และกมธ.จะส่งหนังสือไปยังกระทรวงยุติธรรมในประเด็นต่างๆ เหล่านี้ด้วยซึ่งหากไม่มีความคืบหน้าจะมีการลงไปตรวจสอบอีกครั้ง