“โพล 3 สำนัก” เผย สิ่งที่คนกรุงเทพฯต้องการจาก ผู้ว่า กทม. “นิด้าโพล” ชี้ ผู้ว่าฯ ต้องเก่งด้านการประสานงาน ชาวบ้านอยากได้ สก.-สข. ซึ่งเป็นผู้สมัครอิสระ ด้าน “สวนดุสิตโพล” ระบุ คนรุ่นเก่าเลือกพรรค คนรุ่นใหม่ต้องการเปลี่ยนแปลง คนที่อยู่ในหมู่บ้านจัดสรร เลือกเพราะนโยบาย ส่วนชุมชนแออัดจะเลือกคนที่เข้าถึงง่ายและช่วยแก้ปัญหา ขณะที่ “ซูปเปอร์โพล” พบ คนกรุงเทพฯ ต้องการสุขภาวะที่ดี และให้ความสำคัญเรื่องปากท้อง แนะ วางนโยบาย 2 ระดับ คือ ระดับร่มใหญ่ และระดับชุมชน
นอกจากการเมืองในรัฐบาลที่กำลังดุเดือดเข้มข้นแล้ว การเลือกตั้งผู้ว่า กทม.ที่คนกรุงเทพฯรอคอยก็มีหลายพรรคหลายค่ายที่เปิดตัวหาเสียงกันอย่างดุเดือดเช่นกัน แน่นอนว่าสิ่งที่ผู้สมัครแต่ละคนอยากรู้ก็คือ ทำอย่างไรจึงจะชนะใจคนกรุงเทพฯ และสามารถฝ่าฟันเข้าสู่ตำแหน่งผู้ว่า กทม.ได้สำเร็จ ?
ปรมาจารย์ด้านโพลจากหลากหลายสำนักได้เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของคนกรุงเทพแต่ละกลุ่ม แต่ละพื้นที่ ว่าต้องการอะไรจาก “ผู้ว่า กทม.”
“ผศ.ดร.สุวิชา เป้าอารีย์” ผู้อำนวยการศูนย์สำรวจความคิดเห็นของประชาชน “นิด้าโพล” เปิดเผยว่า จากการสำรวจความคิดเห็นขอคนกรุงเทพฯในหลายๆครั้งที่ผ่านมาพบว่า สิ่งที่คนกรุงเทพฯต้องการจากผู้ว่า กทม.ก็คือ การแก้ปัญหาการจราจร น้ำท่วม และอาชญากรรม
นอกจากนั้นช่วงนี้ “นิด้าโพล”ได้ทำแบบสอบถามว่า คนกรุงเทพฯจะเลือกใครเป็นผู้ว่า กทม.และเลือก สก.-สข.กลุ่มไหน โดยได้ทำแบบสอบถามเรื่องนี้ทุกเดือน ซึ่งผลโพลนั้นมีความแตกต่างเรื่องเปอร์เซ็นต์ แต่ลำดับผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็น ผู้ว่า กทม.ไม่แตกต่าง โดยคะนนสูงสุดยังเป็น นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครอิสระ ซึ่งคะแนนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากช่วงแรกได้คะแนน 23% โดยผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจมีเปอร์เซ็นต์สูงสุด แต่จากการทำแบบสอบถามครั้งที่ 5 ปรากฏว่าเปอร์เซ็นต์ของคนที่เลือกนายชัชชาติเป็นผู้ว่า กทม. มากกว่าเปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจ ล่าสุดมีผู้ระบุว่าจะเลือกนายชัชชาติถึง 38% ซึ่งยากมากที่คู่แข่งจะกดคะแนนนายชัชชาติลงได้ ต้องเป็นคนที่เด่นจริงๆ
ส่วน สก.-สข.นั้นผลโพลชี้ว่าคนส่วนใหญ่เลือก ผู้สมัคร สก.-สข.ที่ไม่สังกัดพรรคการเมือง รองลงมาคือผู้สมัคร สก.-สข.ในทีมนายชัชชชาติ เนื่องจากต้องการให้ สก.สข.คานอำนาจกับผู้ว่า กทม.เพราะไม่อยากให้เกิดการฮั้วกัน
“ คุณสมบัติที่จำเป็นของผู้ว่า กทม. คือต้องเข้าใจพื้นที่ รู้ว่าคนกรุงเทพฯต้องการอะไร สามารถแก้ปัญหาพื้นๆ อย่าง ปัญหาการจราจร น้ำท่วม และปัญหาอาชญากรรม เช่น ติดตั้งไฟส่องสว่างและกล้องวงจรปิดตามจุดต่างๆ เพื่อป้องกันการก่อเหตุอาชญากรรม ข้อสำคัญคืออำนาจของผู้ว่า กทม.นั้นจริงๆมีน้อยมาก ต่างจากผู้ว่าราชการจังหวัดอื่นๆ จึงต้องประสานขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานอื่น ดังนั้น ผู้ว่า กทม.ควรมีคุณสมบัติเรื่องทักษะในการประสานงานด้วย ” ผศ.ดร.สุวิชา ระบุ
ด้าน “นายณัฐพล แย้มฉิม” ประธานดำเนินงานสวนดุสิตโพล ระบุว่า จากผลโพลที่สำรวจเมื่อเดือน ธ.ค.2564 พบว่า สิ่งที่คนกรุงเทพฯต้องการให้ผู้ที่จะเข้ามาเป็นผู้ว่า กทม.ดำเนินการ ได้แก่ อันดับหนึ่ง ต้องการให้แก้ไขปัญหาการจราจรและการขนส่งสาธารณะ 85% , รองลงมา ต้องการให้ดูแลคุณภาพชีวิตและความปลอดภัย 70% , ตามด้วย ต้องการให้ดูแลเรื่องรายได้ การมีงานทำ และค่าครองชีพ 64% , ต้องการให้แก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำเสีย 60%
“ สิ่งที่จะทำให้ผู้สมัครผู้ว่า กทม.ชนะใจคนกรุงเทพฯ ได้ก็คือนโยบาย และวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหา ซึ่งปกติสิ่งที่ประชาชนอยากได้จากผู้ว่า กทม.ก็คือการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นรถติด น้ำท่วม ปัญหาคุณภาพชีวิต การมีงานทำ ปัญหาน้ำเสีย ฝุ่นละออง รวมถึงผลกระทบจากโควิด 19 นอกจากนั้นยังต้องการให้ผู้ว่า กทม.มีความซื่อสัตย์สุจริต มีทีมงานมืออาชีพ ซึ่งในส่วนของผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่า กทม.แต่ละคนนั้นก็จะศึกษาความต้องการของคน กทม.ว่าต้องการอะไรเพื่อนำมาเป็นแคมเปญในการณรงค์เลือกตั้งและทำนโยบายให้ตอบโจทย์เพื่อเรียกคะแนนจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ว่า กทม.” นายณัฐพล ระบุ
ประธานดำเนินงานสวนดุสิตโพล กล่าวต่อว่า การตัดสินใจลงคะแนนของคนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่าใน กทม.นั้นมีความแตกต่างกัน โดยคนที่มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรกเป็นกลุ่มที่ต้องการความเปลี่ยนปลงซึ่งกลุ่มนี้มีจำนวนมากพอสมควร ส่วนคนกลุ่มเดิมที่ยังตัดสินใจเลือกเพราะชื่นชอบพรรคการเมืองก็ยังมี ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้จะมองมิติเดียวไม่ได้ ถามว่าพรรคเป็นตัวแปรไหม ก็มีส่วนแต่ไม่ใช่ทั้งหมด แม้บางคนจะเป็นผู้สมัครอิสระซึ่งสามารถดึงคะแนนเสียงของคนกลุ่มหนึ่งได้ แต่คะแนนก็ไม่ได้นำขาด เนื่องจากมีทั้งปัจจัยจากตัวพรรคการเมือง ปัจจัยเรื่องนโยบาย ตัวผู้สมัคร และปัจจัยเรื่องกระแสของวัยรุ่นที่เลือกตั้งครั้งแรกซึ่งต้องการคนใหม่ๆ ต้องการการเปลี่ยนแปลง
ดังนั้นคะแนนในการเลือกตั้งผู้ว่า กทม.ครั้งนี้อยู่ที่ว่าพรรคหรือผู้สมัครจะมีแนวทางหรือนโยบายที่จะเจาะคนแต่ละกลุ่มอย่างไร วิเคราะห์เรื่องประชากรศาสตร์อย่างไร วิเคราะห์เรื่องพื้นที่สวิงโหวตของตัวเองอย่างไร หรือวิเคราะห์ฐานเสียงเดิมซึ่งเป็นคะแนนนิยมของพรรคตัวเองอย่างไร ซึ่งจะเห็นได้ว่าขณะนี้ยังไม่ได้ประกาศเปิดตัวผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่า กทม.ครบทุกพรรค การแข่งขันในพื้นที่เดิมซึ่งมีทั้งเพื่อไทย ประชาธิปัตย์และพลังประชารัฐ ก็น่าจะแข่งขันกันสนุก พรรคก้าวไกลที่เพิ่งเข้ามาและโกยคะแนน ส.ส.ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ก็น่าจะมีฐานเสียงคนรุ่นใหม่มากพอสมควร ดังนั้นการดึงคะแนนเสียงจากคนที่ยังไม่ตัดสินใจ คนที่รอดูนโยบาย จึงเป็นเรื่องสำคัญ
“ สำหรับคนรุ่นใหม่นิวเจนฯที่มีโอกาสเลือกตั้งครั้งแรก อายุประมาณ 18-24 ปี ถ้าดูจากกระแสในโซเชียลจะพบว่าเขาต้องการเปลี่ยน อยากได้อะไรใหม่ๆที่ตอบโจทย์เขาได้มากกว่า เป็นอะไรที่ตรงใจวัยรุ่นวัยทำงาน เป็นคนเก่ง มีผลงาน ขณะที่คนรุ่นเก่าจะเลือกจากความเชื่อทาง แนวคิดของนักการเมืองกลุ่มเดิมที่เขายังชื่นชอบอยู่ อย่างที่เคยได้ยินว่าพรรคการเมืองบางพรรคส่งใครมาเขาก็เลือกเพราะมีความนิยมในตัวพรรค นิยมในตัวหัวหน้าพรรค ขณะที่ประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเห็นว่าหากตัวแทน ส.ก.-ส.ข.ในพื้นที่ซึ่งสังกัดพรรคการเมืองนั้นๆมีผลงานที่เขาพอใจ เขาก็จะเลือกผู้ว่า กทม.จากพรรคเดียวกัน ” นายณัฐพล กล่าว
นายณัฐพล ชี้ว่า ประชาชนที่อาศัยในแต่ละพื้นที่ก็มีมุมมองในการเลือกผู้ว่า กทม.แตกต่างกัน อย่างกรุงเทพฯชั้นนอก เช่น มีนบุรี หนองจอก ก็ยังนิยมพรรคเพื่อไทยอยู่ ขณะที่คนที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพชั้นในซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจนั้นคะแนนจะเป็นของประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ และก้าวไกล ซึ่งกลุ่มที่เลือกพลังประชารัฐก็อาจเป็นฐานเสียงเดิมของประชาธิปัตย์ คนที่เลือกก้าวไหลก็อาจเป็นกลุ่มวัยรุ่นวัยทำงานที่อยากลองการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ
นอกจากนั้นกลุ่มคนที่อยู่ในที่อยู่อาศัยที่แตกต่างกันก็มีผลต่อการตัดสินใจในการลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งเช่นกัน ด้วยประสบการณ์ในการใช้ชีวิตที่ต่างกัน คนบางกลุ่มอาจจะมองภาพใหญ่ของสังคม ผู้ว่า กทม.ที่เขาจะเลือกต้องสามารถแก้ปัญหาโดยรวมของกรุงเทพฯได้ ขณะที่บางคนอาจมองแค่ชุมชนของตัวเอง คนที่จะเป็นผู้ว่า กทม.ต้องแก้ปัญหาให้ชุมชนเขาได้
“ จากการสำรวจความคิดเห็นของคนกรุงเทพฯขอวงสวนดุสิตโพลในหลายครั้งที่ผ่านมา พบว่า คนที่อยู่ในหมู่บ้านจัดสรรจะเลือกผู้ว่า กทม.จากนโยบายเป็นหลัก ทั้งจากนโยบายของผู้สมัครและนโยบายของพรรคการเมือง รองลงมาคือตัวบุคคล ต้องเป็นคนเก่ง เป็นคนดี ส่วนคนที่อยู่ในชุมชนแออัดจะเลือกผู้ว่า กทม.จากผลงาน และการช่วยเหลือชุมชน ชาวบ้านสามารถเข้าถึงได้ง่าย สามารถแก้ปัญหาให้เขาได้ ขณะที่คนที่อยู่ในคอนโดฯซึ่งอาจเป็นคนที่ทำงานแล้วย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯและมีสิทธิเลือกตั้ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนชั้นกลาง กลุ่มนี้มีทั้งที่ตัดสินใจเลือกผู้ว่า กทม.จากนโยบาย และตัวบุคคล ” นายณัฐพล ระบุ
ขณะที่ “ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา” ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูปเปอร์โพล ในฐานะประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยความสุขชุมชนละความเป็นผู้นำเปิดเผยว่า จากการลงสำรวจพื้นที่กรุงเทพฯ พบว่า มีผู้ที่อยู่ในชุมชนแออัดถึง 40% อยู่ในหมู่บ้านจัดสรร 30% และคนที่ยู่ในคอนโดหรืออาคารสูง 25% และอื่นๆอีก 5% โดยจากผลสำรวจความคิดเห็นพบว่า คนกรุงเทพฯต้องการสุขภาวะที่ดีทั้งด้านการส่งเสริมสุขภาพ การทำมาหากิน ปากท้อง สามารถเพิ่มเงินในกระเป๋าของคนกรุงเทพฯ และช่วยดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และการแก้ปัญหาจราจร
“ นอกจากจะตอบโจทย์ความต้องการของคนกรุงเทพฯแล้ว ผู้ว่า กทม.ยังต้องทำกรุงเทพฯให้เป็นเมืองหลวงที่ช่วยลดความเลื่อมล้ำของประเทศควบคู่ไปด้วย โดยทำให้เกิดความสุขอย่างยั่งยืนภายใต้เศรษฐกิจพอเพียง โดยวางแนวทางให้ชัดเจนว่าในอีก 4 ปีข้างหน้าจะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดอย่างไร แต่ไม่ทำให้กรุงเทพฯเกิดความแออัดและเกิดความไม่ปลอดภัย” ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูปเปอร์โพล กล่าว
ผศ.ดร.นพดล ยังได้เสนอแนวนโยบายเพื่อจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของคนกรุงเทพฯได้ ว่า ต้องมีนโยบาย 2 ระดับ คือ นโยบายร่มใหญ่ซึ่งครอบคลุมกรุงเทพฯทั้งหมด และนโยบายระดับชุมชน ซึ่งในระดับแขวงระดับเขตอาจจะมีความต้องการที่แตกต่างจากนโยบายร่มใหญ่ เช่น ชุมชนที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งทำมาหากินอยู่ในชุมชนโดยไม่จำเป็นต้องเดินทางออกนอกพื้นที่ คนกลุ่มนี้จึงไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการจราจร แต่มักได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมทุกปี ผู้ว่า กทม.จึงต้องมีนโยบายระดับชุมชนเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม
นอกจากนั้นควรที่จะเปลี่ยนโฉมกรุงเทพฯให้เป็นศูนย์กลางของนานาชาติ ซึ่งกรุงเทพฯมีจุดเด่นทั้งด้านสังคม วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ซึ่งแตกต่างจากโตเกียว ฮ่องกง กรุงโรม นิวยอร์ก โดยต้องทำให้กรุงเทพฯน่าดึงดูดใจสำหรับชาวโลก โดยใช้เทคโนโลยี nft (Non-Fungible หรือเทคโนโลยีที่สามารุแสดงความเป็นเจ้าของสินทรัพย์) เปลี่ยนคุณค่าของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมให้เป็นมูลค่า อาทิ พระปางต่างๆซึ่งมีเฉพาะในประเทศไทย เป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเหมือน ทำให้เกิดคุณค่าที่ต่างชาติอยากครอบครอง โดยนำเอกลักษณ์เหล่านี้ไปอยู่ในสิ่งต่างๆเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและสงวนสิทธิความเป็นเจ้าของ อันจะนำไปสู่การจ้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ในคนกรุงเทพฯ ซึ่งจะทำให้กรุงเทพฯเป็นเมืองที่มั่งคั่งและมีความสุขอย่างยั่งยืน
ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebooķ :
https://m.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/?locale2=th_TH
Instragram : https://instagram.com/special.scoop.mgronline?utm_medium=copy_link
Tiktok : https://vt.tiktok.com/ZSe4jvNjo/
